วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561
เสียงประหลาดที่น้ำตกชาติตระการ
เสียงประหลาดที่น้ำตกชาติตระการ
น้ำตกชาติตระการ น้ำตกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเขตนี้ ซึ่งมีกันทั้งหมดเจ็ดชั้น ระยะทางเดินจากชั้นแรกไปสู่ชั้นบนสุดราวๆสองกิโลเมตรกว่าๆ ป่าที่นี้แม้จะเป็นป่าดิบแล้งแต่ก็นับว่ายังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่พอสมควร ต้นไม้ใหญ่ๆอย่างยางนา ตะเคียน บาก ยังพอมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ผมมาที่นี่ในช่วงที่เริ่มเข้าสู่ฤดูแล้งแล้ว ธารน้ำตกงดลงเหลือเป็นสายน้ำเล็กๆที่ตกลงสู่หุบเขาเป็นชั้นๆแม้ปริมาณน้ำน้อยแต่ก็ยังคงความสวยงามอยู่ เราเริ่มเดินขึ้นเขาเพื่อไปชมน้ำตกกันช่วงบ่ายสามโมงกว่าๆ ปลายฤดูหนาวต้นเดือนกุมภาพันธ์ยังคงมีความกดอากาศต่ำจากจีนแผ่ลงมาทำให้อากาศยังคงหนาวเย็น แม้จะเป็นยามบ่ายแก่ๆแต่ก็ยังเย็นสบายเหมาะแก่การเดิน เสียงแมลงต่างๆร้องระงมไปทั่วป่าทำให้ป่าใหญ่ที่ไร้ผู้คนดูไม่สงัดวังเวงนัก ผมเดินอยู่กับน้องสองคน เราไม่ค่อยพูดคุยอะไรกันนักเพราะต่างคนต่างชมนกชมไม้ระหว่างทางอย่างอิ่มเอม บางช่วงของการเดินมีกลิ่นหอมแรงจองดอกไม้ป่าบางชนิดทำให้เราต้องหยุดเดินแล้วมองหาต้นทางของกลิ่นหอมนั่น แต่เราก็ไม่เคยได้เห็นดอกไม้เจ้าของกลิ่นหอมนั่นสักที เราเดินอยู่ชั่วโมงกว่าๆแวะชมน้ำตกแต่ละชั้นจนในที่สุดก็ขึ้นมาถึงชั้นที่ 7 ของน้ำตกชาติตระการ ชั้นสุดท้ายเป็นธารน้ำตกที่ไหลลดหลั่นกันตามชั้นหินลงไปตามทางลาดของภูเขา บนนี้บรรยากาศเงียบมาก มองออกไปเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนเบื้องหน้า ต้นไม้ใหญ่ยืนตายริมธารน้ำตกทำบรรยากาศดูขรึมขลังอย่างบอกไม่ถูก เหนือธารน้ำตกชั้นสุดท้ายนี้เป็นสายน้ำที่ที่ทอดยาวหายเข้าไปในป่า น้ำใสที่มองดูออกสีเขียวเพราะสาหร่ายจำนวนมากเกาะอยู่ตามก้อนหิน เราอยู่บนชั้นสุดท้ายนี้สักพักใจหนึ่งก็อยากลงเล่นน้ำ แต่ด้วยบรรยากาศที่เงียบวังเวงทำให้ต้องระงับความอยากไว้ก่อน ความรู้สึกลึกๆผมแอบกลัวอยู่เหมือนกันเพราะบรรยากาศบนนี้มันวังเวง เงียบเชียบ ชวนให้นึกถึงนิยายแห่งพงไพรที่บอกเล่าถึงสัตว์ร้ายและสิ่งเร้นลับในป่าที่มักปรากฏตัวในบรรยากาศเช่นนี้ ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยลงทางทิวเข้าด้านตะวันตก แดดสีเข้มขึ้นเพราะใกล้พลบค่ำ อากาศเริ่มเย็นลง เราจึงอำลาน้ำตกชั้นที่เจ็ดนี้เพียงการวักน้ำขึ้นล้างหน้าเพื่อเป็นการยืนยันว่าเราขึ้นมาถึงที่นี่แล้วจริงๆ แล้วเราก็เดินกลับ ซึ่งระหว่าทางเราก็ยังคงได้กลิ่นหอมดอกไม้ป่ากลิ่นเดิมนั้นเป็นระยะ กลิ่นหอมลึก ที่เป็นความหอมอย่างที่ผมไม่เคยได้กลิ่นดอกไม้ชนิดใดมาก่อน ป่าด้านบนน้ำตกนี้ค่อนข้างทึบ เราเดินเลาะทางเดินข้างธารน้ำตกที่ด้านหนึ่งเป็นหุบเขาลึก อีกด้านเป็นป่าลาดชันขึ้นไปที่ปกคลุมด้วยไม้ใหญ่น้อยรกครึ้ม ป่าข้างบนนี้เงียบมากไม่มีเสียงแมลงร้องระงมเหมือนด้านล่าง เราเดินมาถึงธารน้ำจากบนเขาที่มีสะพานไม่เล็กๆให้ข้าม ป่าตรงนี้ค่อนข้างรกครึ้มและชื้น มีต้นไม้ใหญ่มากเป็นพิเศษ ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งขนาดสองคนโอบล้มขวางทาง ทำให้เราต้องปีนข้ามไป กลิ่นหอมดอกไม้ป่าชนิดเดิม ป่าเงียบสงัด ทันใดนั้นเราได้ยินเสียงอะไรสักอย่างกระโดดลงพื้นตุบ เราหยุดเดินทันที พร้อมๆกับสำนึกบางอยากที่ทำให้กำไม้เท้าที่ใช้พยุงเดินมาแน่นมากขึ้น ตัวผมชาไปทั้งตัวพร้อมๆกับเหงือที่ผุดของมาเม็ดโต ป่ารอบกายเงียบสงบในอีกไม่วินาทีต่จากเสียงตุบแรกเราก็ได้ยินเสียงย่ำท้าวหนักๆอีกสองครั้งแล้วก็เงียบไป ปล่อยให้เราสองคนยืนนิ่งเหมือนถูกสาบอยู่กลางป่า พอตั้งสติได้เราจึงรีบเร่งฝีเท้าจนลงมาถึงที่ทำการอุทยานก่อนพลบค่ำพอดี เราออกจากน้ำตกชาติตระการมาพร้อมๆกับอาการมึนงงปนความตกใจเพราะในขณะนั้นเราไม่มีอาวุธอะไรป้องกันตัวยกเว้นไม่ไผ่ลำเล็กๆที่เอาไว้ค้ำเดินขึ้นเขาเท่านั้นวินาทีนั้นผมกลัวว่าหากเสียงไม่หายไปในสามเก้าแต่วิ่งเข้ามาหาเราจะเป็นอย่างไร สัตว์ป่าชนิดไหนที่เสียงเท้าหนักขนาดนั้น แล้วเหตุไรจึงเงียบลงอย่างไร้ร่องรอยโดนของ1
โดนของ1
จากประสบการณ์ของตัวเอง โปรดใช้วิจารณยาน ปกติเป็นเด็กวิทย์ เพราะกว่าจะเชื่ออะไรต่องใช้การพิสูจน์ทดลอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสาม สี่ ปีก่อน ต้องเอาวิชาฝากครูไว้ชั่วคราว เรื่องคือ เจอเหตุการณ์แปลกๆคือจากคนที่สุขุมเยือกเย็น กลายเป็นคนอารมณ์แรง วีนแตกจนเพื่อนบ่นว่าเปลี่ยนไป อยู่มาวันหนึ่งนั่งจอดบรรทึกประจำวันอยู่ แล้วมีความรู้สึกว่ามีคนมายืนเยื้องๆด้านหลัง เลยบอกเริ่มเก็บร้านเหอะจะได้กลับบ้าน พร้อมหันไปมอง กลายเป็นว่างเปล่า เลยลุกไปหน้าร้านเห็นเด็กนั่งอยู่ เลยถามว่าตะกี้เธอเดินไปหาฉันที่โต้ะทำงานหรือเปล่า เด็กบอกเปล่าล้างแก้วเสร็จก็รอคำสั่งว่าจะให้กลับได้หรือยัง เราเลยบอกไปๆปิดร้านกลับบ้าน :- ไม่กี่วันต่อมาเรามีเรื่องทะเลาะกับหุ่นส่วนอย่างแรงแบบแทบจะฆ่ากันได้เลย หุ่นว่วนถึงกับต้องขับรถหนี ส่วนเราเดินเข้าครัวเพื่อหาอะไรทำให้ใจเย็นลง แต่ช่วงที่กำลังจะเดินไปที่เครื่องล้างจานนั้น เหมือนมีมือใหญ่ๆผลัก ขวาโต้ะหั่นปัด ซ้าย โต้ะพักจาน เลือกเอาจะเอามุมไหนดี ถ้าลงเหมาะๆก็หัวกระแทกพอดี แต่วินาทีนั้นเราใช้วิธีฝืนแรงผลักเท่าที่แรงเรามีโดยพยายามเอาส่วนที่อันตรายน้อยที่สุดสัมผัสเลยได้กกแขนซ้ายรับไปกับขอบโต้ะพีกจาน พอตั้งสติได้ ถามตัวเอง โมโหจนตาลาย ตาฝาดไปแล้วรึไง ตอนนั้นยังไม่คิดอะไรมากมาย รีบเห็บข้าวของให้เสร็จจะได้กลับบ้านพักผ่อนเหนื่อยเหลือเกินวันนี้:- หลายอาทิตย์ต่อมาเราปวดท้องอย่างหนักชนิดที่ถ้าถืออะไรไว้นี่ล่นโดยไม่รู้ตัวเลย เมียหุ่นส่วนสังเกตุเห็น นางเข้ามาถามว่าเป็นอะไร เราเลยเล่าอาการให้ฟัง นางก็ดีใจหาย รีบโทรนัดหมอ และพาไปส่ง หมดตรวจบอก มีลมในลำไส้ ให้นามาถ่าย สามสี่วันต่อมาก็ไม่หาย เราก็ทนๆเอา พอปวดก็ไปแอบหลบไม่ให้ใครเห็น ไม่ใช่กลัวหมอ แต่ตอนที่ไปหาหมอเอ็กเรย์แล้วหมอบอกไม่มีอะไรแค่รมในลำไส้ ทนปวดอยู่เป็นอาทิตย์ จนคิดว่า จะเข้าไปตรวจที่โรงบาล พอดีมีเหตุการณ์ เราปวดท้องถ่าย ทีนี้เวลาถ่าย มันมีความรู้สึกอะไรมันขูดลำไส้ ไม่เจ็บแต่มันมีความรู้สึก ปกติถ่ายปวดถ่ายก็แค่ถ่ายออกใช่ไหม แต่นี่มันรู้สึกอะไรมันคูดๆขูดมาเป็นทาง พอเสร็จ เราก็ลุกแล้วยืนดูก้อนทอง พระเจ้า!! มันคือเส้นด้วยพัน จนแทบไม่เห็นสีทอง ใจยังคิดว่าเรามีพธิหรอ ยินสังเกตุถ้าพยาธิ มันก็ต้อง ยุกยิกได้ซิ ยืนมองอยู่นาน มันก็ยังนิ่ง เลยออกไปหากิ่งไม้มาเขี่ย มันก็นิ่ง เลยกดน้ำทิ้ง กลับมานั่งห้องทำงาน หุ่นส่วนเห็นเรานิ่งๆ เลยถามว่าเป็นอะไร เราเลยบอก สงสัยละเมอกินด้ายเข้าไปถ่ายออกมาเป็นด้าย นางร้องเฮ้ยยย เป็นไปได้ไง เราบอก เป็นไปได้ เธอเชื่อเรื่อง Black Magic ไหม มันมีจริงไหม นางเงียบ แล้วบอกถ้าเชื่อก็มี เหมือนเธอไงบางเรื่องเธอรู้บางอย่างล่วงหน้าโดยความฝัน ว่าแต่เธอไปสดุดขาใครเข้า เราตอบขาพวกฮาเลมของเธอมั้ง นางถามต่อแล้วมันจะเป็นอันตรายกับเธอไหม เราบอกคงไม่มั้ง ออกมาหมดแล้ว ว่าแล้วเราก็ต่อโทรศัพย์หา พระถามท่านว่ามนต์คุณไสย์นี่มันมีจริงๆหรือ :-เมืองมนุษย์กับเมืองของสัตว์1
เมืองมนุษย์กับเมืองของสัตว์1
... ...มันเป็นเรื่องเล่าอย่าซีเรียจ... ..คำเตือน..ค่อยๆอ่านไม่ต้องรีบเดี๋ยวจบใว..."กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ววววววว ยังมีเมืองมนุษย์.และเมืองของสัตว์.. เกิดขึ้นบนโลกใบนี้...โดยทั้งสองเมืองนี้ มีแม่น้ำกว้างทั้งใหญ่ทั้งยาวขวางกั้นระหว่างเมืองมนุษย์และสัตว์อยู่..ชื่อแม่น้ำอะไรอันนี้ข้าพเจ้าไม่รู้เพราะไม่ใด้ตั้งชื่อใว้.. ในแม่น้ำแห่งนี้ก็จะมีจรเข้อาศัยอยู่.. จำนวนกี่ตัวอันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ใด้นับมาอีกนั่นแหล่ะ.....เมืองมนุษย์และเมืองของสัตว์.ต่างฝ่ายก็ต่างอยู่ไม่ไปเบียดเบียนกัน... ครั้งอดีตตการ..มนุษย์และสัตว์พูดภาษาเดียวกัน..จะเป็นภาษาภาคใหนนั้นอันนี้ข้าพเจ้าก็มิอาจตรัตสรู้ใด้...เอาเป็นว่าใช้ภาษาภาคกลางก็แล้วกัน..เมืองทั้งสองฝ่ายต่างอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าเขารวมถึงพืชพันธ์ธรรนยาหารต่างฝ่ายต่างอยู่อย่างสงบ...... ..มนุษย์กับสัตว์ไม่เคยรู้จักมัคคุ้นกัน.. สัตว์ไม่รู้จักมนุษ..มนุษว์ไม่รู้จักสัตว์... .อยู่มาวันหนึ่งหมาอดสงสัยไม่ใด้จึงเอ่ยปากชวนแมวเพื่อนรักพากันข้ามฟากไปเมืองมนุษย์..เออเจ้าแมวเราลองข้ามไปเทียวฝั่งทางนู้นกันดีมั้ย...โอ้ยข้าไม่เอาด้วยหรอกข้าว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนท่าน....เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวเราไปหาท่านจรเข้กัน......ท่านจรเข้สุดหล่อคือข้ากับเพื่อนอยากข้ามไปฟากนู้นท่านช่วยพาเราข้ามไปหน่อยใด้มั้ย...ท่านจะข้ามไปทำไมหรือฝั่งเมืองมนุษย์.....ข้าก็อยากเห็นมนุษว์ใกล้ๆและก็อยากรู้ว่าเค้าทำอะไรกันที่นั่น...ข้าว่าท่านอย่าไปยุ่งกับมนุษย์เลย..จรเข้กับหมาคุยกัน.....น่าน้ะท่านเผื่อใด้ของดีจากเมืองฝังทางนู้นมาฝาก...เอ้าถ้ายังงั้นก็ขึ้นหลังข้ามาเลย(สมัยนั้นจรเข้ยังไม่ดุ)พอส่งหมากับแมวขึ้นฝั่งเรียบร้อยจรเข้ก็ขึ้นไปนอนอาบแดดอยู่บนฝั่งเพื่อรอหมากับแมวกลับมา..ดังที่ท่านทั้งหลายเห็นจรเข้นอนอาบแดดอยู่ทุกวันนี้นั่นแหล่ะมันคอยหมากับแมว... .....หมาพาแมวเดินลัดเลาะมาตามแนวชายป่าฝ่าทุ่งโล่งไม่นานก็มาพบกับมนุษย์ ที่กำลังใช้ไม้ขุดคุ้ยดินอยู่.....ดว้ยความที่หมากับแมวยังไม่เคยเห็นมนุษย์และไม่รู้จักจึงทำการร้องทักออกไป..ลุง.ลุง.คำว่าลุงที่หมาเรียกก็คือคำว่า.โฮ่ง.โฮ่ง.เป็นเสียงของหมาเห่านั่นเองในปัจจุบัน..... ฝ่ายมนุษย์ก็ตกใจที่ใด้เห็นสัตว์เป็นครั้งแรกก็ร้องโวยวายว่า.แซ่.แซ่..คือเอาแส้มาเพือจะใช้ป้องกันตัว....ช้าก่อนท่านคือมนุษย์ใช่ใหม.หมาเอ่ยถาม...ใช่เราเป็นมนุษย์.แล้วท่านทั้งสองล่ะมาจากเมืองฟากนู้นใช่ใหม...ใช่แล้วท่านคือข้ากับเพื่อนอยากมาเที่ยวที่เมืองนี้ท่านช่วยพาเราเที่ยวชมใด้มั้ย...ใด้ซิแต่ท่านทั้งสองต้องช่วยข้าปลูกพืชให้เสร็จก่อนน้ะ....หมากับแมวตอบตกลง...หมาทำหน้าที่คุ้ยเขี่ยดินส่วนแมวมีหน้าที่กลบ..เราๆท่านๆจึงมักจะเห็นหมาชอบคุ้ยเขี่ยดินและเห็นแมวมันจะคุ้ยดินกลบ.หลังจากขี้เสร็จอยู่เสมอและนี่ก็เป็นที่มาเค้าล่ะ..หมาทำงานใด้ดีรู้จักประจบรู้จักเลีย... จึงทำให้มนุษย์พอใจมากจึงพามาอยู่ด้วย..โดยให้หมาอยู่บนบ้านส่วนแมวให้อยู่ไต้ถุนบ้านเนื่องจากแมวมักชอบแอบนอนบ่อย..เห็ตุนี้เองมันจึงทำให้แมวไม่พอใจหมายิงนักใด้ดีแล้วทิ้งเพื่อน..ตัวเองใด้อยู่บนบ้านกินดีอยู่ดีส่วนแมวนอนไต้ถุน...นับวันแมวก็ผูกใจเจ็บคิดหาวิธีกำจัดหมาให้ใด้...โดยการหลีกเลี่ยงไม่ใช้กำลังเพราอาจพลาดเสียทีหมาเนื่องจากตัวเล็กกว่า.............. และแล้ววันที่ชะตาชีวิตของหมากับแมวก็แปรผัน...มันช่างเป็นโอกาศดีของแมวเสียนี่กระไร.......เอ่อเจ้าหมากับเจ้าแมววันนี้ข้าจะเข้าไปดูพืชที่ปลูกใว้ในไร่น้ะพากัอยู่เฝ้าบ้านให้ดีล่ะ..ปลาที่ย่างอยู่บนเตาเจ้าหมาเองเฝ้าใว้ให้ดีน้ะอย่าให้หาย..เสียงมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของบ้านสั่ง.."มนุษย์เอาปลามาจากใหนอันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้น้ะ"........ กลิ่นปลาที่ย่างอยู่ในเตาบนบ้านมันชั่งหอมยัวยวนจมูกแมวดีเหลือเกิน...แต่จะทำยังงัยถึงจะใด้ลิ้มลองล่ะในเมื่อหมานอนเฝ้าอยู่......เออนี่เพื่อนรักเราขอขึ้นไปบนบ้านหน่อยใด้มั้ย.แมวเอ่ยกับหมา......... ..ไม่ใด้หรอกสหายเจ้าของบ้านเข้าสั่งใว้....เราขอขึ้นไปแค่นิดเดียวไม่มีใครรู้หรอกถ้าท่านไม่บอก........คงไม่ใด้หรอกสหาย....มันเป็นคำยืนยันจากหมาที่เคยเป็นเพื่อนรักกันตอนอยู่ที่เมืองของสัตว์.....แต่บัตนี้สัตว์ทั้งสองใด้มาอยู่เมืองมนุษย์ความอิจฉาริษหย๋าความเห็นแก่ตัวก็บังเกิด...........ทั้งๆที่มาจากบ้านเมืองเดียวกันแท้ๆ.....เอาล่ะในเมื่อท่านไม่อณุญาตให้ขึ้นก็ไม่เป็นรัย...เราขอชิมหางปลาหน่อยใด้มั้ย....โอ้เจ้าแมวเอ๋ยอันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ใด้ใหญ่หัวปลาน่ะข้าจองใว้แล้วส่วนเจ้าน่ะข้ายกกระดูกให้.............มันทำให้แมวรู้สึกหดหู่ยิ่งนัก..................สายลมพัดผ่านหอบเอาความเย็นเข้ามา...มันจึงทำให้หมาเคลิ้มหลับไปในทีสุด.................... ..จะเกิดอะไรขึ้นตอนหมาหลับ........ ช็าตแบตแป้ปเดี๋ยวมาต่อให้..... ...ขอบคุณแอดมินและทีงาน.... ...แล้วเจอกันภาค.2เรื่องเล่า/เรื่องจริง #คนต่อนก ตอนที่ 9
เรื่องเล่า/เรื่องจริง #คนต่อนก ตอนที่ 9
เราส่องไฟไปทางกระท่อมร้างแต่ไม่เห็นอะไร..เงานั้นหายไปแล้ว..ผมรู้สึกกลัวมากๆๆ...ขณะที่เราเก็บของอยู่เพื่อจะกลับไปนอนที่ด่านปริง...อยู่ๆที่แนวป่าก็ได้ยินนกเขาป่าร้องขึ้นมาอีก..กรุกกรู๊กรู๊กุกกุกกุกกุกกุกกุกกุกกุกกุกกุกกุกกุก..ทุกคนหยุดชะงักเอียงหูฟัง..."12กุกอีกแล้ว"ลุงเวชบอก...ทุกคนรีบวางของ..นกเขา12กุกอีกตัวส่งเสียงขัน...มีนสุดยอดไปเลย..ถ้าได้12กุก2ตัว..เรามีเงินเพียบแน่นอน..."นอนนี่ละคืนนี้"ลุงวีบอกพร้อมปลดผ้าที่คลุมกรงนกต่อออกมาพร้อมไปต่อนก.."เดี๋ยวๆพี่วี"พ่อทักขึ้นมา"ผมว่ามันแปลกๆนะ..นกเขาอะไรขันค่ำๆป่านี้..มันควรจะนอนแล้วซิ"พ่อทักท้วงขึ้นมา...ลุงวีและคนอื่นหยุดครู่นึง..เหมือนจะเห็นด้วยกับที่พ่อทักมา...แต่ลุงวีหยิบกรงต่อขึ้นมา.."ช่างเถอะถ้าได้อีกตัวเราจะรีบกลับ"ลุงวีกับลุงเวชเดินส่องไฟหายไปทางพุ่มไม้...เราจึงผูกเปลนอนกัน...พ่อนำถ้วยจานไปทิ้ง..ก่อนจะหุงข้าวใหม่อีกรอบ..และเอาไก่ป่ามาย่างเพื่อรอกินกัน...ผมกับน้านพก่อไฟเพิ่มอีกหลายกองโดยเฉพาะทางฝั่งกระท่อมที่เราเพิ่งเห็นอะไรมาสดๆร้อนๆ...บุญมีนอนคว่ำอยู่หันทางไปทางริมน้ำ..มันนอนนิ่งๆ..เหมือนจ้องอะไรอยู่...เราผูกเปลสูงกว่าปรกติและอยู่ติดๆกัน..ห่างกันแค่ศอกกว่าๆ..จะขึ้นเปลนั้นต้องปีนต้นไม้ขึ้นไปอีกที...แล้วกางผ้ายางไว้บนเปลกันน้ำค้าง...เราก่อไฟกันควันฟุ้งไปหมด...เวลาผ่านไปจนพลบค่ำ...พระจันทร์โผล่ขึ้นบนท้องฟ้า..."เวรละ..วันพระ!!"พ่ออุทานขึ้นมา...วันพระ!!...แล้วไงหว่า...เราก็ไม่เข้าใจ...ทำไมพ่อก่อไฟเพิ่มขึ้นจนเป็นวงกลมล้อมรอบที่เราพัก...น้านพก็ช่วยพ่อก่อไฟ...เหมือนรู้ว่าไฟนั้นจำเป็นมากๆ...พ่อบอกให้ผมเลื่อนเปลให้สูงขึ้นอีก..ผมก็ทำตามที่พ่อบอก..พร้อมขัดห้างเล็กๆให้บุญมีไว้นอน...เวลาผ่านไปพักใหญ่เรานั่งกันอยู่ด้านล่าง...แสงจันทร์คืน15ค่ำสาดส่องไปทั่วบริเวณ...ลุงวีกับลุงเวชกลับมา.."ไม่ได้"ลุงวีบอกพร้อมวางกรงนกต่อลงและคลุมผ้าไว้..."กินข้าวก่อนดีกว่าได้ขึ้นไปนอน"น้านพบอก.."แปลก..ได้เสียงขันใกล้ๆแต่ไม่เห็นตัว"ลุงวียังข้องใจนกเขา12กุกตัวที่2..."หรือมันจงใจจะให้เรานอนที่นี่"พ่อพูดขึ้นมา..ทำให้เรามองหน้ากัน...เรานั่งกินข้าวกันและผลัดกันไปสุมไฟให้สว่างๆอยู่ตลอดเวลา...ทันใดนั้น...ในหูก็ได้ยินเสีนงบทสวดมนต์ลอยมากับลม..."ใครสวดมนต์อ่ะพ่อ"ผมถามพ่อ...ทุกคนเงียบ!!!ไม่มีใครตอบ..มีแต่หยิบปืนมาถือไว้...อยู่ๆบนกระท่อมร้างก็มีแสงไฟจากตะเกียงสว่างวาบขึ้นมา...ทุกคนลุกขึ้นยืนหันไปทางกระท่อม..เสียงตะกุกตะกักเหมือนมีใครเดิน..."ไปดูกันไหม"น้านพพูดขึ้น..พวกเราเช็คกระสุนปืนแล้วเดินไปดูกัน...บรรยากาศเงียบสนิท...พอเข้าใกล้กระท่อมก็ได้ยินเสียงไอออกมา..แค๊กๆๆๆแค๊กๆๆๆ..เป็นเสียงไอแบบแห้งๆๆๆ....ใครกันแน่อยู่ด้านบน...เราเดินมาจนถึงกระท่อมส่องไฟไปบนกระท่อมซึ่งฝาบ้านนั่นหลุดออกหมดแล้ว..ยังคงเป็นกระท่อมโล่งๆ...ด้านบนเป็นเงาคนสีดำๆนอนไออยู่...เสียงแค๊กๆๆๆ..แค๊กๆๆๆๆ...ดังหนักขึ้น.."ใครว่ะ!!เดียวยิงหัวขาดเลย"ลุงวีตะคอกขึ้นมา...ทันใดนั้น..ร่างๆดำนั้นก็กระโดดขวับ!!ขึ้นมานั่งยอง...ตาแดงเป็นไฟ..."ไม่กลัวผีเหรอ..อิอิออิอิ"ร่างนั้นพูดแล้วหัวเราะ..ก่อนกระโดดหายไปในความมืด...ผมตกใจจนฉี่ราด..ผีจริงๆด้วย..ทุกคนก็ตกใจแต่พยายามส่องไฟดู..แต่ไม่เห็นอะไรอีกแล้ว...เสียงสวดคาถาบาลียังคงดังระงม..เราจึงเดินกลับมา...ใส่ไฟให้แรงขึ้น...พอเรากลับมาถึงที่พัก..ก็ได้ยินเสียง..เคร้ง!!ๆ..ๆ..ๆ..ๆ..คล้ายเสียงตีเหล็ก...ดังมาจากฝั่งริมน้ำ..ตรงศาลพระภูมิกองกันอยู่..."อะไรอีกว่ะ"น้านพพูดขึ้นมา...พวกเราตัดสินใจเดินไปดูอีก...ไอ้บุญมีเดินตามทำท่ากล้าๆกลัวๆ...เราค่อยๆเดินไปเพราะระยะมันไม่ไกลมาก..เราส่องไฟฝ่าแนวหญ้า..ไปหยุดที่กอศาลพระภูมินั้น...สิ่งที่เห็นคือ..เงาดำๆที่เราเจอเมื่อกี้กำลังก้ม..ใช้ค้อนทุบพร้าอยู่...คือเหมือนกับว่ากำลังตีเหล็กอยู่...ผมขนลุกเกรียวทันที..."พี่เขียว!!"เสียงลุงวีตะโกนออกไป.."ทำไมไม่ไปผุดไปเกิด"ลุงวีพูดต่อ..ลุงเขียวเหรอ...ผีนี่หว่า....เราคุยกับผีด้วย!!!...เงาดำนั้นหันขวับมาพร้อมร้องไห้ครวญคราง..ฮืออออฮืออออฮืออออออ!!!..."กูไปไม่ได้...กูไปไม่ได"เงานั้นตอบกลับมา..."ช่วยกูด้วย..ช่วยกูด้วย"เงานั้นร้องเรียกพวกเราก็จะกระโดดลงน้ำดังตูม!!...."ขึ้นเปลดีกว่าไป!"พ่อยอก..ทุกคนเห็นด้วย...แต่พอเราหันหลังกลับมาเท่านั้นแหละ....ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังสนั่นป่า...เสียงสวดมนต์หายไป!!...เสียงกลองเสียงปี่เข้ามาแทน...เราค่อยๆถอยหลังกลับมา...ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง...ปรากฏร่างของผู้หญิงแต่งชุดไทยเดินออกมาจากกองศาลพระภูมิจำนวนมาก..ส่งเสียงหัวเราะดังหวั่นไหวไปหมด...พวกเราถอยมาจนถึงที่พัก..บัดนี้ร่างของหญิงชุดไทยเดินล้อมเรามาเป็นวงกลม..เสียงหัวเราะ..ฮ่าๆๆๆๆฮ่าๆๆๆๆฮ่าๆๆๆๆฮ่าๆๆๆๆดังกึกก้องทั่วบริเวณ..."ขึ้นเปลๆๆเร็ว"ลุงวีบอกทุกคน...แต่!!!..บนเปลกลับมีหญิงชุดไทยนั่งห้อยขาอยู่..รวมทั้งนั่งที่ห้างของบุญมีด้วย...หญิงชุดไทยเดินใกล้เข้ามา..บุญมีขาสั่นจนฉี่ราด...ผมเองก็ไม่ต่างอะไรกับบุญมี...หญิงชุดไทยเข้าใกล้มาจนจะถึงเราแล้ว..แต่อยู่รอบๆกองไฟ..เหมือนไม่กล้าฝ่ากองไฟเข้ามา..."ใส่ไฟๆๆให้แรงอีกๆๆ"พ่อตะโกนสั่งบอกทุกคน..เราช่วยกันสุมไฟแรงขึ้นๆๆ...หญิงชุดไทยร่ายรำเป็นวงกลมล้อมเราไว้..ปากยิ้มแสยะ..แววตาดุร้าย...เสียงกลองเสียงปี่ดังลั่นหนักขึ้นๆๆๆ..."โธ่!!ไอ้ผีบ้า"น้านพโมโหจัด..หยิบปืนลูกซองลุงวีที่พิงไว้..เพราะลุงวีต้องสับไม้ฟืนแบ่งไปใส่ไฟ...น้านพหยิบลูกซองขึ้นมา..."นพอย่ายิง!!"พ่อตะโกนบอก...แต่ไม่ทันละ..น้านพกดลูกยาวออกไปยังหญิงชุดไทย...ปัง!!!!!....ลุกซองกระจุยกระจายเสียงแผดร้องก้องป่า...หญิงชุดไทยกรี๊ดดดดดดดดด...ก่อนจะชี้หน้าน้านพ...ปรากฏว่ารอบๆเรามีร่างหญิงชุดไทยออกมาอีกจำนวนมาก...แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...อยู่น้านพก็ล้มลงชักดิ้นชักงอ.."เห้ย!!นพเป็นอะไร"ทุกคนวิ่งมาทางน้านพ...น้านพไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้..ลุกขึ้นสะบัดแขน...น้ำลายฟูมปาก..ในตามีแต่ตาขาว..."ไอ้นพผีเข้า"ลุงเวชพูดออกมา....ก่อนที่น้านพจะวิ่งออกจากแนวกองไฟ..ตรงเข้าไปที่หญิงชุดไทยยืนอยู่...แล้วก็ไปร่ายรำ..หัวเราะชอบใจกลับหญิงนั่นด้วย.."อย่าออกไปๆๆ"ลุงวีห้ามพวกเราที่กำลังจะำปช่วยน้านพ...เราจึงช่วยกันสุมไฟกันต่อ...แต่เวลานี้ไม่ฟืนจะหมดแล้ว..."ไม้ฟืนจะหมดแล้วเอาไงดีพี่วี"พ่อตะโกนบอก...สถานการณ์ขับคันอย่างหนัก..น้านพก็ไม่ได้สติกลับมา...ไม้ฟืนหมดแล้ว!!...ไฟบางกองก็เริ่มมอด..และดับลง..ความมืดเริ่มมาเยือน..เหลือไฟแค่1-2กองแล้ว...หญิงชุดไทยเริ่มมองมาทางเรา...แววตาหมายจะปลิดชีวิตเราให้หมดสิ้น..."ถ้าจำเป็นก็ยิง..ถ้ามันเข้าใกล้ก็ยิง"ลุงวีบอกพ่อ...พร้อมล้วงธูปเทียนหมากพลูและขวดเหล้าออกมา...ปูผ้าขาวม้าลงบนพื้นแล้ววางของทั้งหมดลง..ลงวีเทเหล้าลงบนพื้นนิดนึง...ก่อนจะท่องขอขมาต่อเจ้าที่..และบนบานว่าถ้าออกจากบางพร้าได้จะบวชอุทิศส่วนกุศลให้ผีทุกตนและดวงวิญญาณทุกดวง... *** ***ในที่สุดกองไฟทั้งหมดก็ดับลง***หญิงชุดไทยและน้านพหันมาทางเรา..แลบลิ้นออกมาลูบกับริมฝีปาก..ทางท่าสยดสยองยิ่งนัก..ก่อนที่มันจะเดินมาทางเรา..."ยิง!!"ลุงวีตะโกนสั่ง..พวกเราระดมยิงออกไป..แต่ระวังไม่ยิงไปทางน้านพ..ปัง..ปัง..ปัง..ปัง..เสียงปืนระดมยิงออก...แต่ยิ่งยิงเท่าไหร่ก็ยิ่งมีผีชุดไทยมากขึ้นเท่านั้น...บนกระท่อมร้างก็ปรากฎเงาดำๆยืนตีเหล็กดังเคร้งๆๆๆ...ในน้ำก็ได้ยินเสียงอะไรตีน้ำดังตูม..ตูม..ตูมม..ทันใดก็ปรากฏเงาจระเข้หลายสิบตัวโผล่จากน้ำอีกครั้งเหมือนที่วังเวียนไม่มีผิด..."ตายแน่เรา"พ่อหันมาพูดพร้อมบอกให้ผมกำสร้อยพระให้แน่น...สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น..เมื่อน้านพเดินไปแล้วเอาศีรษะโขกกับต้นไม้.."ไอ้นพ!!หยุดๆๆ"พวกเราตะโกนออกไปให้น้านพหยุดแต่ไม่ได้ผล...ทุกอย่างกำลังเคลื่อนเข้าหาเรา... ... ...แต่แล้ว...ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป...สิ่งที่ผมต้องจดจำไปตลอดชีวิตก็ปรากฏ...เมื่ออยู่ๆ..เจ้านกเขา12กุกมันก็ขันขึ้นมา...เสียงขันของมันทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก...อยู่ๆ..ในเวลานั้นดวงจันทร์อยู่ตรงหัวพวกเราพอดี..ปรากฏมีแสงระยิบระยับออกมาจากกรงที่เราใส่นกเขาป่าเอาไว้..."พวกมนุษย์จอมโลภจะไม่ช่วยก็ใจดำเกินไป"..เสียงใครก็ไม่รู้ลอยมากับลม..แต่เสียงนั้นทำให้เหล่าผีหยุดและหันไปรอบๆมองหาที่มาของเสียง..และเหมือนว่าพวกชุดไทยจะกลัว...น้านพเงยหน้าขึ้นดูเหมือนกัน..แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด...ทันในนั้น..นกเขาป่าในกรงก็หลุดออกจนหมด...บินกันว่อนแล้วหายไปในความมืด...ยังคงเหลือเพียงแค่นกเขา12กุก..ที่กางปีกบินวนๆไปมา.... ...บัดนี้ปีกของมันสะท้อนกับแสงจันทร์ในคืน15ค่ำ..แสงที่ปีกมันระยิบระยับเป็นประกายเหมือนอัญมณีที่โดนแสงดูสวยงามยิ่งนัก...ผมเงยหน้าขึ้นดู...มันอะไรกัน!!!...ทำไมปีกนกเขามีไฟระยิบระยับแบบนั้น...มีอะไรอีก...มีอะไรที่ผมไม่รู้...และผมต้องการจะรู้....ประกายไฟที่ระยิบระยับจากปีกนกเขาค่อยๆลอยหล่นลงมาเบื้องหน้า...หญิงชุดไทยตกใจกลัวและล่าถอยลงไปในกองศาลพระภูมิ...เหล่าจระเข้ค่อยๆถอยลงไปในน้ำ...น้านพค่อยๆนั่งลงเหมือนคนอ่อนแรง..."มันนกเขาอะไรกันพี่วี"พ่อถาม..ผมเองก็อยากรู้...นกเขาตัวนั้นยังคงบินว่อนกางปีกแผ่ประกายไฟลงเบื้องล่าง..เหมือนเป็นการไล่ผีสางพวกนั้นไปให้พ้น..."กูก็ยังไม่เคยเห็น"ลุงวีบอก.."แต่ลักษณะมันคล้ายๆกับที่ปู่และพ่อกูเคยบอก"ลุงวีพูดต่อ...ปู่และพ่อลุงวีเคยบอกอะไรเหรอ...ขนาดลุงวีแก่ขนาดนี้แล้วปู่ลุงวีจะแก่ขนาดไหน..เค้ามีเรื่องอะไรบอกต่อกันมา..."บอกอะไรพี่วี"พ่อถามต่อ...ลุงวียืนอ้าปากนิ่ง...ซักพัก...ก็ใช้ให้พ่อดูนกเขาตัวนั้น!!!..."นกเขานั่นอ้าปากรับแสงจันทร์"ลุงวีพูดพร้อมชี้ให้เราดู..."ใช่แล้ว...คือมันแน่ๆ..ใช่มันแน่นอน"ลุงวีพูดเสียงสั่น.."คืออะไรกันแน่พี่วี"พ่อถามต่อ...ลุงวียืนนิ่งๆ...ก่อนจะยิ้มแล้วตอบออกมาว่า...มันคือ......... * * * * * *..."นกจโกระ!!!"...นกเขาไฟตามตำนานคำเล่าขานของคนต่อนกสมัยก่อนนั่นเอง
เมืองมนุษย์กับเมืองสัตว์2
เมืองมนุษย์กับเมืองสัตว์2
.... ..มาต่อกันเลยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา....ยืมภาพประกอบเรื่องก่อนน้ะครั้บ... ..ขอบคุณครั่บ.........."หลังจากหมางีบหลับไปแมวเห็นเช่นนั้นก็สบโอกาสเหมาะ..ย่องๆขึ้นไปโขมยปลาแต่....แมวต้องผิดหวังเนื่องจากปลาใด้ถูกไฟไหม้เรียมจนเป็นเถ้าถ่านอยู่ในเตานั่นเอง...เนื่องจากลมพัดเข้ามาจึงทำให้ไฟคุขึ้นมาไฟเลยเผาปลาไหม้หมด.....การที่หมาไม่ใด้ยินเสียงแมวเดินขึ้นไปบนบ้านนั้นเพราะตีนแมวจะนุ่มมากหมาจึงไม่ใด้ยิน......จึงเป็นที่มาของฉายาตีนแมวในปัจจุบัน"..ครั้นพอมนุษย์เจ้าของบ้านกลับมาก็รู้สึกหิว....หมาที่นอนอยู่ก็รีบลุกกระโจนพรวดออกไปกระดิกหางเลียแข้งเลียขาอย่างอกหน้าออกตา........เออเจ้าหมานี่มันช่างเอาใจดีเหลือเกิน...ใหนปลาที่ย่างใว้ยังอยู่หรือเปล่า...ยังอยู่ดีครั้บท่านเดี๋ยวข้าจะไปเอามาให้น้ะ......... ..เมื่อหมาตรงมาที่เตาก็ต้องผิดหวังคงเหลือแต่เพียงขี้เถ้า....ด้วยความคิดของสมองที่มีอยู่เพียงน้อยนิดหมาจึงพูดกับมนุษย์ว่า...เออนี่ท่านระหว่างที่ท่านไม่อยู่เจ้าแมวใด้แอบโขมยกินปลาจนหมดข้าห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังท่านต้องจัดการกับแมวน้ะ.....เหวยๆไอ้หมาอย่าใด้มากล่าวโทษข้าเลย...ข้าอยู่ของข้าไต้ถุนท่านต่างหากที่อยู่บนบ้าน..เพราะฉะนั้นท่านนั้นแหล่ะเป็นผู้กินปลาหมด..หมากลัวความผิดกลัวว่าตัวเองจะถูกมนุษย์ขับไล่จึงโยนความผิดให้แมว.... ..เจ้าทั้งสองไม่ต้องเถียงกัน!จงบอกข้ามาว่าใครเป็นกินปลาของข้าหมด..ถ้าไม่บอกข้าจะตีเจ้าทั้งสองให้ตายซะวันนี้....มันเป็นอาการโมโหหิวของมนุษย์กำลังกำเริบ... .ไม่บอกใช่ใหม.พลัวะๆไม้ในมือกระหน่ำตีไปที่สัตว์ทั้งสองตัว......หมาทนความเจ็บไม่ใด้จึงร้องออกมาว่า..ข้าเอง.ข้าเอง..จึงเป็นที่มาของเสียงหมาร้องในปัจจุบัน.. เอ๋ง.เอ๋ง.ๆๆส่วนแมวร้องออกมาว่า..ป่าว.ๆ.ๆหรือหง่าวๆๆในทุกวันนี้.......มนุษย์เจ้าของบ้านพอรู้ความจริงก็ไล่หมาลงไปนอนอยู่ไต้ถุน....ส่วนแมวใด้ขึ้นมาอยู่บนบ้านใด้กินดีอยู่ดีกินข้าวคลุกปลาทูใด้เลื่อนขั้นเป็นทูนหัวของบ่าวในทุกวันนี้....ส่วนหมาก็อยู่ไต้ถุนได้กินแต่กระดูกที่เหลือจากแมว.....และนี่ก็เป็นที่มาของหมากับแมวที่ไม่ถูกกัน...เจอกันเมื่อไหร่เป็นต้องฟัดกันเมื่อนั้น.................เวลาผ่านไปใวเหมือนใช้ตังค์หมาใด้ชวนหมูมาอยู่ที่บ้านของมนุษย์ด้วยหมูมาอยู่ก็ขยันทำงานพรวนดินในไร่อย่างขยันเมือเจ้าของบ้านเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกชอบและหาอาหารมาให้หมูกินจนอ้วน......วันนี้เจ้าทั้งสองออกไปพรวนดินน้ะส่วนข้ามีธุระเดี๋ยวเสร็จธุระแล้วขาจะตามไป.....มนุษย์เจ้าของบ้านบอก.......เมื่อมาถึงสวนผักหมาก็ให้หมูทำหน้าที่พรวนดิน..ก็คือใช้จมูกดุลๆดินนั่นแหล่ะ.......เออนี่สหายเดี๋ยวท่านไปพรวนดินก่อนน้ะช่วงเช้าแดดยังไม่แรงเดี๋ยวสายๆข้าจะไปเปลี่ยนให้ท่านมานอนพักผ่อน.........พอพูดจบหมาก็นอนที่ไต้ร่มไม้สบายใจเฉิบปล่อยให้หมูทำงานอยู่ตัวเดียว....พอหมูทำงานเสร็จก็มาปลุกหมาให้ตื่นไปทำงานต่อ......ท่านๆตื่นใด้แล้วข้าขอพักเอาแรงบ้าง...ฝ่ายเจ้าหมาก็งัวเงียมองไปที่แปลงผักทีกำลังสยายใบเพื่อรับแสงจากดวงาทิตย์ก็นึกสนุกขึ้นมา...วิ่งเข้าหาสวนผักกระโดดโลดเต้นวิ่งไปวิ่งมาอย่างคึกคะนองในไม่นานสวนผักที่ดูงดงามก็เละราบเป็นหน้ากลอง......ฝ่ายเจ้าหมูก็หลับไปด้วยความเหนื่อย........เจ้าหมูกับหมาโว้ยข้ามาแล้วเสียงมนุษย์เจ้าของสวนผักร้องเรียก....พอเจ้าหมาใด้ยินก็แกล้งทำเป็นเก็บผักที่เรี่ยราดกระจุยกระจายจัดให้กลับมาเหมือนเดิมแต่ทำยังงัยมันก็เละอยู่ดี......ส่วนเจ้าหมูก็นอนหลับด้วยความเพลียเลยไม่ใด้ยินอะไรกับเค้า..........นี่ใครทำกับแปลงผักเละขนาดนี้ล่ะเจ้าหมา...แล้วเจ้าหมูมันหายไปใหน..เสียงมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของผักเอ่ยถามหมา.........โอ้ท่านมาพอดีเลยที่ทั่นเห็นแปลงผักเละขนาดนี้ก็เป็นเพราะฝีมือของเจ้าหมูมัน...นู่นเลยมันทำลายสวนผักของท่านเสร็จแล้วมันก็ไปนอน...ข้าอุตส่าพรวนดินผักทั้งแปลงแต่หมูกลับมาทำลาย.....ข้าห้ามแล้วก็ไม่ฟัง..........อนิจังวัตสังขารา......... เจ้าหมูไม่มีโอกาสใด้ชี้แจงใดๆเลย...นะบัดนี้มนุษย์ผู้ซึ่งใช้แต่อารมย์ตัดสินบันดาลโทสะโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีก่อน..คว้าใด้ท่อนไม้ก็ตีกระหน่ำใส่หมูอย่างไม่ยังมือ...หมูก็ใด้แต่ร้องโอ้ย.ๆ.ๆ..หรืออู้ดๆ.ๆในทุกวันนี้นั่นแหล่ะ.......มนุษย์ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นสัตว์ประเสิฐยืนดูหมูดิ้นทุรนทุรายจนขาดใจตาย....แต่ยังไม่หายแค้นมนุษย์ยังแล่เนื้อหมูออกเป็นชิ้นๆเท่านั้นยังไม่พอ..ยังกินเนื้อหมูเพื่อที่จะใด้หายแค้น....... ....พอลิ้นใด้ลิ้มรสเนื้อหมูสดๆเท่านั้นแหล่ะจึงรู้ว่ามันอร่อย....จึงใด้ทำการเรียกชาวบ้านมาที่สวนพร้อมกับแบ่งเนื้อหมูให้กันอย่างทั่วถึง....มนุษย์เริ่มติดใจในรสชาติของหมู....แต่จะทำยังงัยถึงจะข้ามน้ำไปที่เมืองของสัตว์ใด้..หนักเข้าก็คิดจะกินหมา... เนื้อเพื่อนเจ้านี่ชั่งวิเศษนักข้าอยากจะชิมเนื้อเจ้าแล้วละซิเจ้าหมา.......อย่าเลยท่านเนื้อข้าไม่อร่อยหรอกมีแต่ความเหม็นสาบ..ถ้าท่านต้องการเนื้อสัตว์ที่อร่อยกว่าข้าฝังนู้นยังมีอีกเยอะเดี๋ยวขาจะไปชวนมา ที่เมืองของท่านแล้วท่านทั้งหลายก็เลือกจับเอาเองเลย..............หมาใด้ชักชวนวัวควายช้างม้ารวมถึงสัตว์อื่นๆอีกหลายชนิด...เดินทางเข้ามาที่เมืองมนุษย์.....สัตว์บางชนิดก็ถูกฆ่าเพื่อเป็นอาหาร...บางชนิดก็ถูกกักขังใว้ใช้งาน..อย่างเช่นวัว.ควาย.ช้าง.ม้า...สัตว์ที่เข้ามาก็ไม่พอกับความต้องการของมนุษย์...จึงมีโจรผู้ร้ายเกิดขึ้นในเมืองของมนุษย์นี่เอง................. .....เรื่องที่มนุษย์มีความโหดร้ายต่อสัตว์..ก็ดังไปถึงหูเจ้าป่าซึ่งเป็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ตัวสีทองเหลืองอร่าม.."ตอนนั้นเสือยังไม่มีลาย"..สัตว์แทบทุกชนิดจะเกรงกลัวเจ้าป่ามากแค่เสียงคำรามก็เกินพอ..............นะวันหนึ่งแห่งทุ่งทานตะวัน....เจ้าป่าอย่างเสือโคร่งก็ปรากฎร่างขึ้นที่เมืองมนุษย์....เค้าเป็นใครมาจากใหนไม่มีใครรู้จัก...เฮ้ย!ท่านนั่นแหล่ะมานี่หน่อยซิ!ข้าขอถามอะไรหน่อย..เจ้าพอจะรู้จักมนุษย์ว่าหน้าตาเป็นงัยข้าใด้ข่าวว่ามนุษย์นี่โหดร้ายิ่งนัก...เสียงเสือโคร่งเอ่ยถามมนุษย์ชายทีกำลังตัดฟืนอยู่......อ๋อมนุษย์เหรอข้าก็เคยใด้ยินมาเหมือนกันถึงความโหดร้าย...แล้วท่านล่ะเป็นใครแล้วมาตามหามนุษย์ทำมัย.....อะแฮ่มข้านี่แหล่ะคือเจ้าป่าผู้ไม่เคยเกรงกงลัวใครข้าอยากจะเจอกับมนุษย์ยิ่งนักว่าจะเก่งแค่ใหนนี่ท่านเห็นเขี้ยวที่คมยาวและเล็บที่แหลมคมนี่มั้ยแค่ข้าตะปบทีเดียว....ไม่มีทางรอด......โอ้ยินดีที่ใด้รู้จักท่านเจ้าป่า....ฮะะะะะะะะเป็นงัยล่ะเจ้าเริ่มกลัวข้าแล้วละซิ...เอาอย่างงี้เจ้าช่วยไปตามมนุษย์มาให้ข้าทีข้าอยากจะรู้นักว่ามนุษย์จะเก่งแค่ใหน........ท่านเจ้าป่าแน่ใจแล้วเหรอว่าอยากเจอมนุษย์.......ทำมัยเจ้ากลัวรึอยู่กับข้าไม่ต้องกลัวเดี๋ยวข้าจัดการเองเพียงแค่ท่านไปพามนุษย์ให้ข้าก็พอ......... ...แล้วข้าจะเชื่อท่านใด้ยังงัยว่าท่านจะไม่หนีไปใหน.....อุว่ะเจ้านี่เรื่องมากจริงข้าเป็นถึงเจ้าป่าน้ะโว้ย........เอาอย่างนี้ข้าขอมัดท่านใว้กับต้นไม้ก่อนแล้วข้าจะไปตามนุษย์มาให้ท่าน....ตกลงเชิญเจ้ามัดข้าใว้ใด้เลย............มนุษย์ชายที่หาฟืนอยู่..ขณะนี้เค้ากำลังหาเถาวัลที่เหนียวและทนที่สุดเพื่อที่จะมามัดเสือโคร่งเจ้าป่าใว้.............เรื่องราวจะเป็นยังงัย.............. ...เสือโคร่งเจ้าป่ากับมนุษย์...ใครจะอยู่... ..ใครจะไปเจอกันในภาค.3.ครั้บอังซูเรย์ #CHAPTER9
อังซูเรย์ #CHAPTER9
มีอยู่ช่วงหนึ่งคณะของณรงค์ ที่เดินมาตามทางด่าน บังเอิญต้องเจอกับเจ้าถิ่นอย่างบังเอิญ มันเป็นไอ้เหลือมขนาดลำกล้วย มันนอนนิ่งอยู่บนกิ่งไม้ที่ทอดขวางทางอยู่ คงนอนรอเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายผ่านทางมา แน่นอนหากมีตัวอะไรผ่านเข้าไปมันคงจะทิ้งตัวมารัดเอาไปเย็นอาหารอันโอชะ โอบิจิเป็นคนเห็นก่อนเขาชี้ใช้มือ หัวหน้าคณะดู ณรงค์เมื่อเห็นขนาดแล้วถึงกับขนลุก เพราะมันใหญ่ขนาดที่ว่าจะสามารถกลืนคนลงไปทั้งคนได้อย่างสบาย ทั้งสามมองหน้ากันส่งสายตาเป็นคำถามจะเอาไงดี เพราะถ้าเป็นเวลาปกติคงล่อเข้าให้ด้วยลูกซองแล้ว จะอ้อมหรือเลี่ยงไปก็ไม่ได้ เพราะฝั่งหนึ่งเป็นป่าหนามรกชัฏอีกฝั่งเป็นผาตัดลงไป มีทางเดียวคือต้องลอดเจ้างูใหญ่ไปเท่านั้น ลามูทำท่าเอามือวาดเชือดคอให้ณรงค์ดูแปลว่า ฆ่าเลยดีไหม ณรงค์เลิกคิ้วสูงตาโตแปลว่าจะทำยังไง โอบาจิสะกิดเขาแล้วพยักหน้าหงึกๆแปลว่ามีวิธี เขาดึงมีซุยเดินป่าปลายแหลมออกมาชูให้นายจ้างดู แล้วโอบาจิก็กระชับมีดมั่นค่อยๆก็ย่อตัวจะย่องเข้าไปฟันแต่เพราะกิ่งไม้นั้นมันอยู่สูงกว่าที่จะฟันได้ถนัด ณรงค์จึงรีบเหนี่ยวไหล่ไว้ก่อนเพราะมันอันตรายเกินไป เจ้างูมันอยู่สูงจึงได้เปรียบ เขาเม้มปากอยู่ครู่หนึ่งจึงคิดออกมันเป็นวิธีเด็กๆง่าย ณรงค์เดินไปหยิบหินผาที่เป็นเหลี่ยมๆขนาดเหมาะมือมาสองสามก้อนมากองไว้เบื้องหน้าห่างจากไอ้เหลือมประมาณ7-8เมตร พรานหนุ่มสองคนก็รู้ทันคราวนี้พวกนั้นก็วางมีดลงแล้วคว้าก้อนหินขนาดใหญ่ๆมาคนละหลายก้อนกองไว้ตรงกลางด่าน ณรงค์ยิ้มพอใจเขาพยักหน้าหงึกๆเป็นสัญญาณ แล้วสงครามการไล่ที่ก็เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์ผู้พยายามผ่านทางกับเจ้าถิ่นผู้หิวโหย ณรงค์เป็นคนแรกที่เปิดศึกเขาเขวี้ยงก้อนหินในมือออกไปสุดแรงหมายกำหนดเอาร่างเหลืองดำที่นอนทอดยาวอยู่ ก้อนหินที่ลอยละลิ่วกระทบกิ่งไม้สุดแรงดังโป๊กแตกเป็นสะเก็ด เขายักไหล่เพราะปาพลาด เจ้างูยังอยู่ที่เดิมไม่มีความเคลื่อนไหว สองคนนั้นจึงเอาบ้างต่างคนก็ต่างเขวี้ยงหินไปอย่างแรงชนิดที่ว่าไม่ยอมให้งูได้หายใจ บางก้อนก็ถูกลำตัวอย่างถนัดถี่บางก้อนก็วืด หลายสิบก้อนผ่านไปคนเขวี้ยงถึงกับหอบจับ เพราะแต่ละก้อนใหญ่ขนาดลูกมะนาวถึงลูกส้มโอ แต่เจ้างูมันยังนิ่งอยู่ที่เดิม “นายทำไมมันยังไม่ไปอีก” ลามูถามเบาๆเพราะหอบเหนื่อย “ไม่รู้สิบางทีพวกเราขว้างเอาถูกจุดสำคัญมันตายแล้วกระมัง” ณรงค์พูดยิ้มๆแต่สีหน้ายังสงสัย “ผมว่าเอาไม้เขี่ยดูดีรึไม่นาย” โอบาจิเสนอพลางใช้มีดตัดเอาลำต้นเล็กๆยาวเรียวของต้นไม้ชนิดหนึ่งขนาดความใหญ่ประมาณด้ามมีดยาวเมตรกว่าๆ โอบาจิยื่นไม้ที่พึ่งตัดนั้นให้ณรงค์ “หึ้ย เอามาให้ฉันทำไมโอบาจินั้นแหละไปเขี่ยมันดู” ณรงค์พูดพลางผลักหลังดันให้ให้พรานหนุ่มก้าวออกไปเบื้องหน้า ร่างสูงโปร่งนั้นค่อยๆย่องไปอย่างช้าๆ โอบางจิพยายามมองหาว่าทางไหนหัวทางไหนหางแต่ไม่สามารถจะกำหนดได้ถนัดแล้วเขาก็ ค่อยๆใช้ไม้แหย่ไปที่กลางลำตัว มันแน่นิ่งไม่ไหวติง “ตายแล้วกระมังนาย” เขาหันมาส่งถามเสียงไม่ดังนัก “เขี่ยแรงๆสิให้มันร่วงลงมาเลย” ณรงค์ว่าโอบาจิพยักหน้ารับ แล้วหมอนั้นก็เอาไม้เขี่ยผลักสุดแรง ทีแรกมันหนักๆหนืดๆจากนั้นร่างยาวก็ร่วงหล่นลงมาดังตุ๊บ พอถึงพื้นเท่านั้นแหละโอบาจิวิ่งพรวดหนีทันที เพราะเจ้างูที่กำลังหงุดหงิดไล่งับมาติดๆ ระยะแค่นั้นมันพรวดพราดเร็วจนเหลือเชื่อ ณรงค์ร้องเฮ้ยผงะจะถอยหลัง แต่บังเอิญสะดุดก้อนหินใหญ่ๆที่พวกนั้นเอามากองไว้เขาหงายหลังลงกับพื้น ขณะกำลังจะยันตัวขึ้น โอบาจิก็วิ่งมาถึงเขาแล้ว พรานหนุ่มส่งมือให้เขาจับไม่ทันที่จะออกแรงฉุด ไอ้วายร้ายก็งับลงบนข้อเท้าของเขาพอดี มันฉกงับอย่างแรงตรงข้อเท้าที่สวมรองเท้าคอมแบทหนังของทหารแบบข้อสูง มันจึงกัดไม่เข้าเเต่มันยังงับได้แม้จะไม่ทะลุก็ตามมันขบแน่นแล้วออกแรงกระชากดึง ณรงค์ร้องเฮ้ยเพราะความตกใจ เขากำมือของโอบาจิแน่น หมอนั้นซวนเซเจียนจะล้มแต่ก็ยังยันกายได้ถนัด ลามูเข้ามาคว้าตัวณรงค์ไว้อีกแรงโดยดึงที่สายกระเป๋า ในตอนนี้เป็นภาพที่ช่างน่าดูแกมขบขันเพราะเป็นการชักเย่อกันระหว่างคนกับงูโดยมีณรงค์อยู่ตรงกลางพวกนั้นดึงเข้าไว้สุดแรงแหกปากตะโกนลั่นไปหมด ส่วนณรงค์ไม่ต้องพูดถึงเพราะอารามตกใจดันพูดไทยไม่ออก แกร้องตะโกนเป็นภาษาพ่อโหวกเหวกไปหมดฟังไม่ได้ศัพท์ มีคนเดียวที่ไม่ได้ตะโกนแข่งกับเขาคือเจ้างูเหลือมตัวนั้นนั่นเองเพราะมันพูดไม่ได้ เมื่อมันดึงไม่ถนัดมันจึงค่อยวาดตัวมาหมายรัดให้ นายช่างสรรพาวุธของกองทัพไทย แหลกเหลวคาที่ตรงนั้น ณรงค์เมื่อเห็นมันขดตัวมายิ่งแหกปากดังเข้าไปอีก ทันทีที่ตั้งสติได้ จึงตบลงไปที่ข้างเอว พยายามปลดมีดออกจากซอง มันเป็นมีดโบวี่ของกองทัพอเมริกันชนิดเอ็มเก้า เขาค่อยๆดึงมีดออกจากซองอย่างใจเย็น ใบมีดสีเงินวาววับ เขาเงื้อขึ้นสุดแขน “ทั้งหมดปล่อยฉัน” เขาตะโกนลั่นพวกนั้นเข้าใจความมายดีก็ปล่อยมือจากเขา อันเป็นเวลาที่เจ้างูใหญ่เหวี่ยงร่างเข้ามาพอดี ณรงค์ก็ฟันฉันลงไปที่ก้านคอมันตัดเส้นประสาทอย่างเฉีบคมเพราะหัวขาดออกจากร่างด้วยความคมของมีดปลายปืนที่สั่งทำพิเศษ หัวใหญ่อันแสนน่าเกลียดยังติดที่ข้อเท้าเขา แต่ร่างใหญ่ยาวนั้นดิ้นอย่างแรงสะบัดเร่าๆปลายหางเหวี่ยงไปมา เลือดสีแดงข้นสาดคาวคละคลุ้ง เขาเรียกพริกตัวหลบออกมายันกายลุกขึ้นยืนดู เขารีบเอาสันมีดที่เป็นใบเลื่อยเคาะแงะหัวงูที่ยังคาอยู่เมื่อมันหลุดออกมาณรงค์เตะสุดแรงจนมันกระเด็นหายเข้าไปในพงหญ้า “นายครับเป็นยังไงบ้าง” ลามูถามพลางช่วยโอบาจิปัดฝุ่นและเศษใบไม้ที่ติดตามตัวให้เขา ณรงค์ส่งยิ้มแห้งๆให้หน้าตาเหยเก “แอมฟาย แต๊งกิ้ว ปลอดภัยดีแต่ก็ขนลุกไปหมด ทำไมมันตัวใหญ่จัง” เขาพูดพลางสะบัดมีดและเช็ดเลือดกับใบไม้ “ผมนึกว่านายจะเสร็จเสียแล้ว นี้ถ้ามันรัดได้ถนัดละก็มีหวังซี่โครงหักแน่เทียว” โอบาจิ แสดงความเห็น ณรงค์สอดมีดลงฝักแล้วหันหน้ามองพรานทั้งสองเขาบ่นเบาๆ “มีดก็มีกันทุกคนไม่มีใครคิดจะเอามาฟันเลย ดึงกันไปก็ดึงกันมาเป็นฉันเป็นเชือกรึไง” “โธ่นาย เพราะความตกใจดอก นี้ถ้าไม่ดึงไว้นี้มันลากนายไปไกลแน่” โอบาจิพูดยิ้มๆพลางเกาหัว “นั้นแหละไหนบอกว่ามันตายแล้วเห็นวิ่งคนแรก ดีที่คนถูกกัดเป็นฉันนะถ้าไม่มีรองเท้าหนังละแย่แน่ เป็นสองคนนี้โดนกันละมีขาเหวอะไม่ต้องเย็บ” เขาพูดพลางหัวเราะอย่างถอนฉิวต่อเหตุการณ์ที่เป็นดังตลกร้าย “ยังไงก็ขอบคุณมาที่ช่วยฉันไว้ทัน เอาละกันไปเถอะ ฉันไม่อยากมองซากมันสักเท่าไหร่ไม่น่าดูเลย” “ดีเหมือนกันนาย ป่าแตกแล้วกระมั่งเพราะเราตะโกนกันสนั่นเลย” “นั้นแหละดีแต่พากันแหกปากลั่น เสียเชิงพรานหมดไปนำทางต่อ” ณรงค์พูดพลางผลักหลังเบาๆให้โอบาจินำทางต่อ เส้นทางที่คณะบ่ายหน้ามามีระดับต่ำลงเรื่อยๆไม่กี่ชั่วโมงจากนั้น ณรงค์ก็พบว่าคณะของเขา มาหยุดอยู่ที่ปากทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ต่ำกว่าภูเขาลูกใหญ่สูงทะมึน ขณะนี้เป็นเวลา 11.15 น. ณรงค์เริ่มสีหน้าไม่ค่อยดีเพราะปากทางเข้ามันช่างแคบเหลือเกิน “มันจะแคบตรงช่วงแรกๆหน่อยเดียวนาย ลึกเข้าไปจะกว้างจนช้างลอดได้เลย ทนเอาหน่อยนะครับ” ลามูพูดข้างๆเขา ณรงค์หันไปมองร่างสันทัดนั้น ลามูเป็นคนรูปร่างไม่สูงนักผิวเข้ม แต่กำยำ ใบหน้าเป็นเหลี่ยมสัน ผมยาวปรกท้ายทอย ดวงตาสีดำกลมใหญ่ เขามักคาดหน้าผากด้วยผ้าแดงยาวๆ นุ่งกางเกงขายาว รองเท้ากะเหรี่ยงถักแบบครึ่งแข้ง สวมเสื้อแขนสั้นสีดำสำหรับกลางวันส่วนกางคืนจะมีเสื้อแจ็คเก็ตทหารสีขี้ม้าที่ใส่จนดำขะมุกขะมอม บนไหล่สะหายลูกซองเดี่ยว สิ่งที่พอจะดูดีในร่างกายคือ กระเป๋าเป้เดินป่าราคาแพงที่เป็นของพวกฝรั่ง พิทักษ์ได้สั่งให้แจกพรานทั้งสี่คนตั้งแต่เริ่มเดินทาง เพื่อเอาไว้ใส่ของจำเป็นทั้งของคณะและของส่วนตัวแทนที่ถุงย่ามและถุงทะเลที่ไม่สะดวก ตอนนี้สิ่งที่ลามูมีเพิ่มเข้ามาคือ ท่อนไม้สามสี่ท่อนชุบน้ำยาง เป็นที่เรียบร้อยมันจะเป็นไต้และฟืนในยามจำป็น โอบาจิก็ติดมาหลายท่อนเช่นกัน “พร้อมรึยังครับนาย” โอบาจิส่งคำถามมา เขาพยักหน้าพูดสั้นๆ “ไป” แล้วคณะเดินทางก็ก้าวย่างเข้าสู่ถ้ำอันมืดมิด กลิ่นของขี้ค้างคาวและอับชื้นทำเอารู้สึกตะครั้นตะคร้อและอึดอัดอย่างที่สุด ทั้งหมดฉายไฟกันคนละกระบอก แม้อยากจะสงวนถ่านไว้แต่ในความมืดเช่นนี้แสงไฟคือสิ่งจำเป็น ทั้งหมดเดินเรียงเดี่ยวชนิดตัวติดกัน หนทางในช่วงแรกคับแคบและเพดานต่ำ ณรงค์ รู้สึกถึงความอึดอันเป็นอย่างมากเขารู้สึกหายใจไม่ออก เหงื่อกาฬแตกไหลอาบร่างทุกก้าวย่างมันช่างเชื่องช้าเหมือนอยู่ในขุมนรกก็ไม่ปาน ทุกคนล้วนแต่สะพายปืนยาวในลักษณะคาดเฉียงเพราะว่ามือทั้งสองต้องคอยพยุงอันเนื่องมาจาก พื้นถ้ำบางจุดอับชื้นและเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ การที่จะลื่นล้มหัวฟาดกับแง่งหินมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา คนเราถ้าลงได้เกลียดหรือกลัวอะไรเมื่อได้อยู่กับสิ่งนั้นมันมักจะทรมานเกินกว่าคนทั่วไป ณรงค์ตอนนี้ ได้แต่กัดฟันก้าวไปทีละก้าวเท่านั้น เขาพยายามไม่แสดงความอ่อนแอให้พรานทั้งสองเห็นแม้ว่าจะต้องกั้นใจเดินก็ตาม ชั่วโมงแรกผ่านไปณรงค์รู้สึกชินกับการเดินทางในถ้ำมากขึ้น เขารู้สึกปลอดโปร่งและหายใจสะดวกขึ้นเพราะหนทางในถ้ำดูกว้างขวางขึ้น อากาศก็ถ่ายเทดี ไม่มีกลิ่นอับและขี้ค้างคาวแล้ว หนทางที่เดินรู้สึกจะวกเวียนอยู่สักหน่อย บางครั้งก็ตัดตรงเมื่อเข้าสู่ชั่วโมงที่สอง จู่ๆไฟฉายในมือของโอบาจิก็ดับลงเมื่อเลี้ยวผ่านมุมเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ที่มีเพด้านสูงคล้ายโดม ไม่เพียงแค่ไฟฉายในมือของโอบาจิเท่านั้น ในตอนนี้ไฟฉายของทุกคนดับลงไปหมด จะว่าถ่านหมดก็หรือหลอดขาดก็ใช่ที่ “เอ๊ะ ทำไมไฟฉายถึงดับกันทุกคน” ณรงค์พึมพำเบาๆพลางเคาะที่ไฟฉาย “ไม่ต้องเคาะดอกนาย” เสียงโอบาจิพูดมาในความมืด “ถ้ามาถึงตรงนี้ไฟฉายมักจะดับเสมออย่าว่าแต่ไฟฉายเลยแม้แต่ไต้ก็จุดไม่ติด” “ทำไม” ณรงค์ขมวดคิ้วถาม “ไม่รู้เหมือนกันครับ นายลองจุดไฟแช๊กดูสิครับจ้างให้ก็จุดไม่ติด” “โอบาจิรู้อยู่แล้วใช่ไหม ว่าตรงนี้จะจุดไฟไม่ติด” ณรงค์ถามเรียบๆ “ครับนาย ความจริงผมเคยผ่านมาที่นี้ สองสามครั้งเอง แต่เพราะทางมันไม่ซับซ้อนจึงเดินง่ายไม่กลัวหลง พ่อของโอบาจิกับพ่อของมะอีซาเป็นเพื่อนกัน เขาเดินทางใต้ภูเขาลูกนี้บ่อยๆ เมื่อผ่านทางช่วงนี้ไฟก็จะจุดไม่ติดทุกที” “แล้วกัน มันเป็นเพราะอะไรกันนะ” ณรงค์พูดเบาๆแล้วปล่อยผ่านไปเสียเขาไม่อยากจะเก็บมาคิดให้หนักสมองเพราะตอนนี้ปัญหาคือจะเดินกันยังไงในความมืด “ แล้วเราจะไปกันต่อยังไง ในเมื่อไม่มีไฟฉายหรือคบเพลิง” “นายเชื่อใจโอบาจิเถอะ เดี๋ยวเราก็ผ่านไปได้” พรานหนุ่มพูดพลางยิ้มฟันขาวในความมืด “นายเกาะติดโอบาจิไว้ให้มั่นเลยนะอย่างปล่อยมือหละประเดี๋ยวจะพลัดหลงหรือไม่ตำเอาหินเอาได้ ลามู เอ็งก็เกาะนายช่างไว้นาประเดี๋ยวติดอยู่ในนี้ละแย่เลยมึง” โอบาจิพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มที่กับณรงค์ แต่ประโยคหลังพูดกับลามู “เข้าใจแล้ว” ณรงค์คว้าเป้ของโอบาจิแล้วตบไหล่ตอบเบาๆ ส่วนลามูก็คว้าเป้เขาไว้เช่นกัน “พร้อมแล้ว” เขาว่า จากนั้นโอบาจิก็เริ่มสาวเท้าไปเบื้องหน้า พรานหนุ่มค่อยๆเดินนำเพราะต้องเดินตัวติดกัน บางครั้งณรงค์ก็สะดุดเอาขาของโอบาจิ อันเนื่องมาจากความสูงใหญ่ของรูปร่างที่ต่างกัน โอบาจินำคณะเลี้ยวผ่านมุมต่างๆได้อย่างแม่นยำบางครั้งก็บอกให้ก้มหัวลงต่ำเพราะหลบหินงอกหินย้อย บางครั้งก็บอกใช้ชิดซ้ายหรือชิดขวา ไม่ว่าถ้ำจะอยู่ในสภาพใด โอบาจิก็สามารถบอกได้หมดไม่คลาดเคลื่อนเลย ทั้งๆที่ณรงค์มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง มันมืดสนิทไปหมด เขาคิดถึงเกมส์ในโรงเรียนนายร้อยที่ ครูฝึกให้ปิดตาแล้วผ่านเดินไปในฐานต่างๆแต่นี้มันคือสถานการณ์จริง แล้วก็ไม่ได้ปิดตาดวงตาทั้งสองเปิดอยู่แต่มันมองไม่เห็นอะไรเลย กว่าชั่วโมงที่ทั้งหมดเดินมะงุมมะหราอยู่นั้น จู่ๆโอบาจิก็หยุด ทำเอาคนที่ตามมาต้องชนกันเอง “มีอะไร” เสียงนุ่มๆของณรงค์ถามเบาๆ “เปล่าครับแต่เราน่าจะพ้นเขตที่จุดไฟไม่ติดแล้วครับนาย” “โอบาจิรู้ได้ยังไง” ณรงค์ขมวดคิ้วถาม “ผมจำทางได้หนะครับ” “หมายความว่าไง” ณรงค์ยังไม่เข้าใจ “คือผมสามารถมองเห็นทางในที่มืดๆได้ครับ” “โอ้ว ก็อต จริงหรือ” ณรงค์อุทานถาม เขาทึ่งกับความสามารถของพรานหนุ่มคนนี้เสียจริง “จริงครับนาย ไม่งั้นโอบาจิไม่พานายเดินมาได้ขนาดนี้หรอก ดีไม่ดีเราชนหินหัวร้างค้างแตกกันหมดแล้ว นายลองถามลามูสิ” “จริงครับนาย โอบาจิมันมองเห็นในตอนกลางคืนได้จริงๆ เป็นความสามารถเฉพาะตัวครับ” ลามูพูดสมทบมา “ว้าว เยี่ยมยอดจริงๆฉันอยากจะมีความสามารถแบบนี้บางจัง คงจะใช้ประโยชน์ได้มากเลย” ณรงค์รู้สึกชื่นชมกับความสามารถของโอบาจิอย่างจริงใจ โอบาจิยิ้มๆไม่ว่าอะไรแต่หยิบไต้ขึ้นมาสองอัน “นายครับ ผมขอจุดไต้หน่อยครับพอดีไฟแช๊กผมพังไปหลายวันแล้ว” “เอะ!! เราจะจุดไต้ทำไม ไฟฉายเราน่าจะใช้ได้แล้วไม่ใช่หรือ” ณรงค์ถามพลางเอาไฟฉายขึ้นมาทำท่าจะเปิดสวิตแต่เสียงของโอบาจิขัดขึ้นมาก่อน “อย่าพึ่งฉายไฟครับนาย” “ทำไมมีอะไรหรือ” “ปะเดี๋ยวนายจะเห็นเองครับ ขอจุดไฟให้ผมก่อนเถิดครับ” ก็ได้ๆ ณรงค์พูดพลางล้วงไลเตอร์แบบซิปโป้ขึ้นมาสะบัดไฟจ่อลนไต้ขี้ยางให้โอบาจิ พอไฟที่ไต้ลุกติดทั้งสองอันมันก็ส่องสว่างจนเห็นอะไรรอบๆตัว พรานหนุ่มชูไต้ขึ้นสูงแล้วสิ่งที่ ณรงค์ไม่คาดคิดก็ปรากฏขึ้น บริเวณโดยรอบห้องโถงกว้างยามนี้นั้นเมื่อมองเห็นถนัด มันล้วนแต่เป็นหินแร่หลากสีมันที่กันสะท้อนแสงไฟจากคบไต้ส่องแสงสว่างแพรวพราวไฟหมด ลามูหยิบเอาไต้มาจุดเพิ่มอีกอันมันก็สะท้อนสว่างขึ้นกว่าเดินจน เหมือนกับพวกมันมีแสงในตัวเอง แร่ที่มีเยอะสุดที่ณรงค์มองเห็น มันมีสัณฐานคล้ายน้ำแข็งเกาะตามผนังถ้ำ ส่วนที่งอกยื่นออกมาเป็นลักษณะหกแฉกคล้ายเกร็ดหิมะมันเกาะเกลื่อนเต็มผนังห้องบาง แห่งเป็นแท่งเสาหกเหลี่ยมสูงยาวจากเพดานจรดพื้น มันช่างสวยงามเกินคำบรรยาย ณรงค์ยืนมองอย่างละลานตา จนลามูต้องสะกิด “นายครับข้างหน้ามีเด็ดกว่านี้” ช่างสรรพาวุธหนุ่มลูกครึ่งไทยอเมริกันพยักหน้าตอบรับ โอบาจิจึงออกนำต่อ ผ่านห้องโถงใหญ่นั้นไปเป็นช่องทางเล็กๆ แต่บริเวณผนังนั้นไม่ได้ทำให้คนที่กลัวที่แคบอย่างณรงค์อึดอัดเลย เพราะมันล้วนแต่เต็มไปด้วยผลึกแร่สีฟ้าสดใส มันสะท้อนกับแสงไฟสว่างไสวณรงค์ดูไปอย่างเพลิดเพลิน ผ่านช่องแคบนั้นมาก็กลับมาสู่ห้องใหญ่อีกรอบครั้งนี้เป็นแร่สีม่วงมันขึ้นเป็นรูปแปดเหลี่ยมยอดแหลม ทุกหินทุกก้อน ล้วนแต่เกาะไปด้วยผลึกแร่ บางก้อนที่เขาหยิบขึ้นมาดูมันเป็นผลึกหินที่หลายสีโดยแบ่งเป็นชั้นๆแต่สีม่วงใสจะเยอะที่สุด โอบาจิไม่ได้เร่งนักเขาปล่อยให้นายจ้างสำรวจอย่างเต็มที่ เพราะนั้นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ณรงค์ลืมความอึดอัดของบรรยากาศในถ้ำคณะเดินทางผ่านไปในแต่ละห้อง ทางเชื่องห้องมักจะเป็นทางเดินยาวที่ไม่แคบนักแต่ผนังจะเป็นแผ่นผลึกหนา เมื่อณรงค์เอาไฟฉายจ่อชิดแล้วฉายดูปรากฏว่ามันเรื่องแสงสะท้อนขึ้นจนสว่างเห็นถึงราก เกือบสามชั่วโมงเต็มที่คณะเดินลัดเลาะหินสีต่างๆทั้งสีทึบและสีใส สีแดง สีเขียว สีฟ้า น้ำเงิน และทองโดยแต่ละห้องใหญ่จะมีทางเชื่อที่ไม่คับแคบเกินไปนัก ผลึกนาๆสีพวกนั้นช่างงดงามและทำให้เพลินเพลินต่อการเดินทาง ณรงค์แทบจะลืมไปเลยว่าตนอยู่ในถ้ำ แล้วคณะมาหยุดพักที่ห้องโล่งใหญ่ห้องหนึ่งมีธารน้ำเล็กๆไหลผ่านมันเป็นน้ำที่ใส่สะอาดและเย็นจัด สามารถใช้ดื่มกินดับความกระหายได้อย่างดี ไต้ทั้งหมดที่ยังเหลือถูกเอามา กองรวมกันเป็นฟืนกองหนึ่ง กาแฟที่เหลือน้อยนิด ถูกเอามาต้มแบ่งกันกินเนื้อกระจง ตุ่น นกเขาและหนูหวายตัวน้อยๆ ที่โอบาจิเตรียมไว้ถูก นำออกมาอุ่นอีกครั้ง โดยอาศัยเอาวางบนก้อนกินอังไฟเพราะไม่มีไม้เสียบ นาฬิกาตอนนี้บอกเวลา 17.30น. ณรงค์รู้สึกอึ้งต่อเวลาเพราะมันผ่านไปเร็วเหลือเกิน เขาชวนสองพรานหนุ่มทานอาหารเติมพลังงานอย่างรวดเร็ว เพราะมื้อกลางวันก็อาศัยเหมารวมกับมื้อเย็นเลย โอบาจิบอกว่าอีกสักชั่วโมงก็จะทะลุออกจากถ้ำแล้ว ณรงค์ใจชื้นขึ้นมาเพราะจะได้รู้สึกหายโล่งใจสักที นี้ถือเป็นครั้งแรกของเขาที่ใช้เวลาในถ้ำนานขนาดนี้ แล้วสามสหายนายบ่าวก็พร้อมที่จะเดินทางต่อ โอบาจิบอกว่าในช่วงหลังนี้จะค่อนข้างอากาศถ่ายเทดี แต่มันที่อยู่ของสัตว์หลายชนิดโดยเฉพาะพวกสัตว์เลื้อยคลานมีพิษ เช่นแมงป่อง ตะขาบ แมงมุม งูเป็นต้น บางตัวก็ไม่มีพิษแต่ก็อันตราย เช่นจระเข้ ค้างคาว หมี และเสือขนาดเล็ก “ถ้ำนี้มีจระเข้ได้ยังไง” ณรงค์ถามขณะเหวี่ยงตัวข้ามหินงอกตอนหนึ่ง “ในช่วงหลังนี้ ถ้ำฝั่งหนึ่งจะเปิดติดริมแม่น้ำ บางแห่งก็เป็นโคลนเลน หรือบางทีก็มีบ่อขึ้นกลางถ้ำมันเชื่อมออกไปหาบึงใหญ่ครับ บึงพวกนี้จระเข้ชุมนักแล บางตัวใหญ่ขนาดเรือบด พวกพรานถิ่นนี้ไม่ค่อยอยากมายุ่งกับพวกมันนักเพราะเนื้อดีๆมีให้กินมากมายถมเถ จะล่าไปขายก็ลำบากเนื่องจากการขนย้าย ทำให้มันชุกชุมมากครับ” โอบาจิอธิบายพลางใช้ไฟฉายสาดกราดต่ำไปยังผนังพื้นด้านต่ำ การเดินทางช่วงนี้อับทึบและชื่น กลิ่นโคลนและมูลสัตว์คาวคละคุ้ง คนที่จมูกดีไวต่อการสัมผัสเช่น ลามูถึงกับต้องเอาผ้าขาวม้าขึ้นมาพันปิดหน้า ชั่วโมงเต็มๆแห่งการเดินทางที่ทำเอาทุกคนหายใจไม่ทั่วท้องทั้งหมดก็ทะลุออกอีกฝั่งหนึ่งของถ้ำ มันเป็นหนทางที่กว้างใหญ่ลมโกรกอย่างแรง ณรงค์ เกร็ดบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบตัวแรกของการเดินทาง เขารู้สึกปรอดโปร่งโล่งใจอย่างที่สุดที่ได้ออกมาจากถ้ำเสียที แต่การเดินถ้ำในครั้งนี้ทำให้ทัศนคติต่อการเข้าถ้ำของเขาเปลี่ยนไป ไม่แน่หากมีโอกาสเขาก็อยากจะลองสำรวจถ้ำดูบ้าง ณรงค์เหลือบดูด้วยสาตาก็เห็น ลามูนั่งทำหน้าแหย่งๆอยู่เวลานี้ความมืดยังไม่มืดสนิทนักยังพอเห็นหน้ากันตะคุ่มๆ “เป็นอะไรลามูเจ็บแผลรึ” นายจ้างลูกครึ่งถามพลางจับที่ไหล่ข้างนั้น ลามูเงยหน้ามองเขายิ้มตอบแห้งๆ “ไม่ใช่ดอกนาย ลามูไม่ค่อยชอบกลิ่นในตอนหลังนี้เท่าไหร่เพราะมันทำเอาท้องไส้ปั่นป่วนหมด จมูกของลามูต้อนนี้สับสนไปหมดเลย” “เอ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นหละ ฉันก็ว่ากลิ่นช่วงหลังนี้ไม่ค่อยดีนะแต่ก็พอไหว ลามูเป็นพรานป่าน่าจะทนได้สบายนิ” “ลามูมีจมูกที่ไวต่อกลิ่นเป็นพิเศษหน่ะนาย เขารับกลิ่นได้ดีกว่าเราจึงเหม็นกว่า” โอบาจิเป็นคนตอบมา “อ๋อเป็นเช่นนี้นี่เอง” ณรงค์พยักหน้ารับเขาทึ่งๆในความสามารถของพรานป่าพวกนี้ที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป ถึงว่าพวกเขาสามารถที่จะใช้ชีวิตได้อย่างดีในธรรมชาติที่แสนโหดร้ายลละดุดันต่อผู้ที่ไม่จัดเจน พวกของณรงค์พักอยู่สักครู่พอหายเหนื่อยจึงเริ่มเดินทางต่อ ทางระยะแรกมันเป็นการเดินลงเขาตามร่องของหุบเขา โอบาจิใช้ไฟฉายกราดส่องไปข้างหน้า ณรงค์และลามู ก็สาดส่องตามแนวไม้ข้างทางไม่นานณรงค์ก็พบตัวเองอยู่ในร่องน้ำตื้นๆเพียงแค่หน้าแข้ง ทั้งหมดค่อยๆเดินลุยน้ำลัดเลาะตามแก่งเล็กๆคล้ายจะอุปทานแต่ณรงค์รู้สึกเหมือนได้ยินสียงของน้ำตกขนาดใหญ่ที่กระหน่ำลงสู่พื้นดิน ขณะนี้เวลา 20.10 นาฬิกา โอบาจิผู้คำนวนเส้นทางได้อย่างแม่นยำรายงานแก่ณรงค์ว่า ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากผาน้ำตกไปไม่มากใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงแต่ตอนนี้พวกเขาต้องพักก่อนเพราะร่างกายเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน อีกทั้งตำแหน่งของพิทักษ์ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเป็นเส้นทางที่ไม่มีใครรู้มาก่อน หากจะเดินงมสุ่มเข้าไปตอนนี้ก็คงจะมีแต่แย่ลงณรงค์ตัดสินใจให้โอบาจิมุ่งเข้าหาที่พักก่อน ในรุ่งเช้าค่อยมาคิดคำนวนดูอีกที โอบาจิจึงนำตัดขึ้นจากลำห้วย ขึ้นเขาเล็กๆที่อยู่สูงกว่าระดับเดียวกัน มันเป็นเนินที่ด้านหนึ่งเปิดโล่ง อีกด้านหนึ่งเป็นป่าไม้รวกหนาพอที่จะสามารถอาศัยเป็นที่กำบังลมได้ ขณะที่ณรงค์กำลังจะปลดเป้ ลามูผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆก็คว้าข้อมือเขาแล้วฉุดให้นั่งลง อากัปกริยาของลามูดูมีพิรุธอย่างน่าสังเกตุหมอนั้นทำจมูกฟุดฟิตในอากาศ พลางใช้มือแตะที่ปากไม่ให้อีกสองคนที่นั่งข้างๆส่งเสียงออกมา ลามู เอานิ้วแนะน้ำลายชูสูงคำนวณทิศทางลมพรานหนุ่มที่พึ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ค่อยๆยันกายขึ้นสูดหายใจเต็มปอด เมื่อแน่ใจแล้วจึงนั่งลง “อะไร” ณรงค์กระซิบถามลอดไรฟัน “กองไฟนาย” ลามูกระซิบตอบเขาพลางใช้มืออีกข้างเหนี่ยวคอโอบาจิให้เข้ามาใกล้ในลักษณะสุมหัว “เล่ามาให้ละเอียดทีฉันไม่เข้าใจ” ณรงค์กระซิบจ่อหูลามู แม้เขาจะไม่เข้าใจถึงเหตุการณ์ในขณะนี้แต่ก็คำนวนได้จากสีหน้าท่าทางของลามูว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างตึงเครียด “มีใครบางคนก่อไฟอยู่ข้างหน้าเรานาย ทีแรกลามูไม่แน่ใจแต่เพราะลมมันเปลี่ยนทิศไปมาเลยแน่ใจมันเป็นกลิ่นควันไฟชัดเจนเลย” “นายพิทักษ์หรือเปล่า” โอบาจิให้ความเห็น “ไม่น่าจะใช่นะเพราะคุณพิทักษ์บอกว่าหลบอยู่บนภูเขาที่เป็นลักษณะแอ่งราบเรียบมีสระน้ำขนาดใหญ่” “แล้วใครกันหละ หรือว่าเป็นพวกคนป่า” โอบาจิหันหน้าไปถามลามู “เจ้านายคิดว่าอย่างไรครับ” ลามูหันมาส่งภาระให้เขาตัดสินใจ “ฉันคิดว่าอาจจะเป็นพวกพรานพื้นเมืองหรืออาจจะเป็นคนป่าที่พิทักษ์บอกก็ได้ คิดว่าพวกนั้นอยู่ห่างออกไปใกล้ไกลสักแค่ไหนลามู” ณรงค์แสดงความเห็น พลางสอบถามลามูผู้มีฆานประสาทอันแม่นยำเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป ลามูค่อยๆย่องออกไปยังเนินที่โล่งชั่งใจอยู่สักครู่จึงหันกลับมารายงาน “อยู่ทางทิศโน้นนาย ใต้เรานี้ห่างเองออกไปประมาณ4-5ร้อยเมตร” ณรงค์พยักหน้ารับ ขนาดระยะไกลขนาดนี้ลามูยังได้กลิ่น แสดงถึงขีดความสามารถอันสุดยอดของพรานนำทางคณะนี้ที่พิทักษ์รวบรวมมาได้อย่างบังเอิญ พิทักษ์ได้ตัวคนแกะรอยไป ชำนาญได้ผู้อาวุโสและพึ่งได้ทุกภารกิจ ส่วนเขามีทั้งตาที่มองเห็นได้ในที่มืดและจมูกที่ไวยิ่งกว่าสุนัขพันธ์บลัดฮาวด์ ถือว่าเขาได้เปรียบสหายทั้งสองอยู่ หนึ่งขั้น ณรงค์คิดคำนวนอยู่ครู่จึงคว้าคอสองพรานมาสุมหัวอีกครั้ง “ระยะใกล้ขนาดนี้ไม่ปลอดภัยแน่หากเราจะอาศัยพักนอนเพราะมันเป็นทางที่ พวกนั้นอาจจะใช้ผ่านมากก็ได้ ฉันคิดว่าพวกเราควรจะเข้าไปดูสักหน่อย แม้มันจะเสี่ยงก็ตามที ” “เอางั้นเลยรึนาย” โอบาจิถาม “อืม หรือเราจะเลี่ยงไปทางอื่น” “ผมว่าเราเข้าไปดูเถอะนาย ยังไงเราถ้าหากมีพวกมันอยู่แถวนี้จริงที่ไหนก็คงไม่ปลอดภัย” ลามูแสดงความเห็นที่ทุกคนต้องยอมรับเพราะดูสมเหตุสมผลที่สุด “งั้น เอาเลยทุกคนเตรียมพร้อมขั้นสุด พยายามใช้อาวุธระยะประชิดนะหากต้องปะทะเลี่ยงการใช้ปืน เพราะเราไม่รู้ว่ามีพวกมันกี่มากน้อยดีไม่ดีอาจมีเกินสิบ” ณรงค์สั่งดำเนินแผนการอย่างเร่งด่วน ดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายในความมืด ไฟเฟิล 30-06 ถูกสะพายแน่นเฉียงคาดไหล่ แต่ที่เอวคาดแน่น .45 โคล 1911 ตราม้าคาบหอก มันเป็นปืนสั้นแบบแม๊กกาซีนที่ทันสมัย บันจุกระสุน 7 นัด หน้าตัดขนาดใหญ่จึงเหมาะสมที่จะใช้หยุดยั้งสัตว์หนังบางอย่างมนุษย์เอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งในระยะขนาดนี้หากฉุกเฉิน ปืนสั้นที่ยิงเร็วจะอำนวยผลได้มากกว่าไรเฟิลแบบลูกเลื่อน หรือโบลด์แอคชั่น ที่ลูกน้อยและเชื่องช้า สองพรานหนุ่มก็สะพายลูกซองเดี่ยวขึ้นหลังเช่นกัน แต่ละคนล้วนชักมีดเดินป่าปลายแหลมออกมากระชับแน่น ณรงค์ส่งสัญญาณให้พรานหนุ่มทั้งสองออกเดินทันที บรรยาากาศตอนนี้ดึงเครียดอย่างมากเพราะมันเป็นการเดินทางในความมืดที่ไม่รู้ว่าศัตรูเบื้องหน้าเป็นอะไรและมีกี่คน โอบาจิใช้นัยน์ตาวิกาลให้เกิดประโยชน์อีกครั้ง เขาค่อยๆย่องคืบคลานนำทางไปอย่างแช่มช้า หูก็คอยฟังเสียงที่ผิดแปลกออกไปจากสั่งจักจั่นเรไรรอบข้าง โอบาจิ มักหันหน้ามาสอบถามกับลามูอยู่เสมอหากต้องเจอโขนหินหรือไม้ล้มเนื่องจากการต้องเปลี่ยนเส้นทาง ไม่นานหลังจากนั้นระหว่างซอกเขาแห่งหนึ่ง ที่มีพื้นราบเรียบใต้โคนไม้ใหญ่ กองไฟ สามถึงสี่กองจุดเรียงกันเป็นวงล้ม อีกวงหนึ่งอยู่ตรงกลางที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ ปรากฏร่างเงาของมนุษย์อยู่ที่นั้น ร่างหนึ่งผมยาว ตัวเล็กไม่สูงมากนั่งอยู่บนโขดหินใต้ต้นไม้หันหน้าเขากองไฟหันหลังออกมาเบื้องนอก อีกร่างสูงใหญ่กำยำใบหน้าดุดันทาสีฟ้าแดงที่บริเวณใบหน้าและลำตัวเป็นคาดๆมันนั่งอยู่ที่พื้น สองคนนั้นกำลังคุยกันกังพึมพำดูลักษณ์ท่าทางกำลังกินอะไรอยู่สักอย่าง สามทหารเสือ นอนพังพาบใต้ซุ้มไม้เลื้อยสังเกตการณ์ มีสองคนนาย โบบาจิกระซิบ ดูแน่แล้วหรือ ณรงค์ตอบพลางหรี่ตามมอง แน่ใจนาย มีไอ้ตัวใหญ่กับตัวเล็กดูทีท่าไอ้ตัวเล็กน่าจะเป็นหัวหน้าเพราะมันนั่งสูงกว่า ณรงค์พยักหน้าเห็นด้วย เขาคิดวางแผนแล้วเริ่มสั่งงานตามแบบยุธวิธีรบ “ฉันจะจัดการไอ้ตัวเล็กก่อน โอบาจิคอยหลอกล่อไอ้ตัวใหญ่ไว้ ลามูยังบาดเจ็บอยู่ให้ถือปืนคอยคุ้มกัน หากไม่จำเป็นจริงๆอย่างยิงเข้าใจไหม ฉันอยากจะจับเป็นเพื่อหยังกำลังรบของพวกมัน” เขาสั่งงานง่ายๆได้ใจความ เมื่อสอบถามซักซ้อมความเข้าใจกันอีกสักหน่อยทั้งหมดก็เริ่มแผนการ ทุกคนตอนนี้ ปลดสัมภาระที่ไม่จำเป็นออกทั้งหมด ณรงค์เหลือแค่ปืนสั้นกับมีดโบวี่เท่านั้นที่คาดเอวอยู่ โอบาจิมีแค่มีดซุยยาวเล่มเดียว ลามูนั้นสะพายปืนถึงสามกระบอก และขัดเหน็บดาบเดินป่าไว้ที่หลัง ณรงค์ค่อยๆย่องอย่างชนิดที่เงียบกริบตามหลักสูตรที่เคยเรียนเรื่องการเข้าตี เขาย่องมาหลบอยู่บริเวณชะงักหินอันใหญ่ที่อยู่ต่ำกว่าคนป่าพวกนั้นประมาณ 15เมตร ลามูย่องตามมาแต่อยู่ข้างหลังเขา ส่วนโอบาจิอ้อมไปอีกทางหนึ่งในราวป่า ด้านตรงข้าม ตอนนี้พวกเขาล้อมเจ้าคนป่าผู้เคราะห์ร้ายไว้แล้ว ดูเหมือนสองคนนั้นยังไม่สำเหนียกถึงภัยอันตรายที่คืบคลานเข้ามา ยังคงแกะกินอาหารอย่างเพลิดเพลิน
สะกดโป่ง
สะกดโป่ง
มา แต่น้าแกก็ไม่หายจากอาการหลอนเพ้อ แต่ก็คุยรู้เรื่องเพียงแต่ไม่ปกติเหมือนเก่า อยู่มาไม่นานแกก็ถูกควายควิดเกือบตาย ควายตัวนี้เขาซื้อเพื่อเข้าโรงเชือดเกิดหลุดโดดรถหนีลงมาจากต่าง หมู่บ้านแต่ชะตากรรมพลัดหลงมาขวิดน้าแกที่หน้าบ้านแกเอง แกเป็นอยู่สิบปี อาการจึงดีขึ้น ต่างวิจารณ์กันถึงเรื่องที่แกไปสะกดโป่งคือสาเหตุ แต่ผมก็ยังมีข้อสงใส่บางประการ เกี่ยวกับเรื่องที่แกหลอน
รอยเท้าปริศนากับตุ๊กตาเด็กหญิง
รอยเท้าปริศนากับตุ๊กตาเด็กหญิง
แฝงตัวเป็นเห็บในกลุ่มอยู่นานวันนี้ขออนุญาต เล่าบ้างเป็นเรื่องจริงที่เกิดกับตัวผู้เขียนเองวิจารณ์ได้ตามสบายค่ะ

.......
ดึกวันนึงผู้เขียนนอนห้องพักที่แฟลต ซึ่งปกติแล้วจะนานๆมานอนครั้ง สถาพห้องอยู่ชั้นสามเป็นห้องเดี่ยวที่แยกจากห้องอื่น เป็นห้องใหญ่โถงทางขึ้นบรรไดแล้วมีห้องนอนห้องน้ำย่อยอีกที หน้าบรรไดจะมีโต๊ะหมู่บูชาพระไว้ให้คนในแฟลตกราบไหว้ เลยสี่ทุ่มผู้เขียนรีบขึ้นห้องพักเพราะทำงานเหนื่อยมากเดินไม่ได้สังเกตุอะไร(ไม่ต้องการบอกว่างานอะไร)
อาบน้ำล้มตัวลงนอนหลับไปไม่รู้หลับไปนานแค่ใหน ได้ยินเสียงเด็กวิ่งเล่น
เดาคร่าวๆจากเสียงมาจากห้องโถงด้วยความที่เป็นคนไม่กลัวผี ในใจมุ่งประเด็นว่าใครพาลูกหลานมาพักนะดึกขนาดนี้ปล่อยให้เล่นรบกวน
ในใจนึกถึงประตูโถงที่เป็นคนล็อคเองมั่นใจเอหรือใครเอากุญแจฉุกเฉินกับแม่บ้านมาเปิด ฟังอยู่นานเริ่มโมโหตัดสินใจเปิดออกไปดูรอบแรกประตูปิดปกติ
แต่เมื่อมองที่พื้น มีรอยเท้าเด็กเหมือนเหยียบแป้งฝุ่นเดินกระจายในห้องโถงผู้เขียนรู้สึกได้ว่าหนาววาบที่แขน
จึงปิดประตูเข้ามาที่ห้องนอนพยายาม
ที่จะหลับเริ่มรู้ลึกๆว่าเจออะไร
ในใจเกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ตัดสินใจเดินผ่านความมืดออกมาอีกครั้งเพราะสวิตไฟอยู่หน้าประตูโถง
สิ่งที่เจอทำให้หัวใจแทบหล่น
ภาพที่เห็น คือตุ๊กตากุมารี
ีวางอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาพร้อมเครื่องบูชา
ความรู้สึกตอนนั้นโมโหมาก ใครนำพาของแบบนี้มา รีบกลับเข้าห้องปิดประตูสวดมนต์แผ่เมตตาซึ่งไม่แน่ใจเลยใน
นาทีนั้นว่าสวดถูกหรือไม่อย่างไร
แต่ด้วยความเหนื่อยล้า
ก็หลับไปก่อนหลับได้ตั้งจิตพูดเสียงดังกับน้องว่า ขอเถอะนะจะนอนแล้วถ้าไม่หยุดน้องจะต้องถูกโยนลงมาจากชั้นสาม
...คืนนั้นหลับยาวถึงเช้า...
เช้ามาถามคนอื่นในแฟลตได้ความว่ามีน้องชั้นสองบูชามาแต่รูมเมทน้อง
เจอดีเข้าเลยขอให้เอาน้องมาไว้กับพระ
วันนั้นผู้เขียนจึงแนะนำรุ่นน้องพาน้องไปฝากไว้ที่วัด....
ยาวหน่อยนะคะ
เรื่องนี้เกิดขึ้นสัก2สัปดาห์ที่แล้ว
ไขปริศนาเหรียญบาทปี ๒๕๑๗
ไขปริศนาเหรียญบาทปี ๒๕๑๗
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วกันแล้วว่า เหรียญ ๑ บาท ปี ๒๕๑๗ นี้ หลายๆ คนพกติดตัว เลี่ยมอย่างดี และเป็นที่ชื่นชอบของนักพจญไพร ว่า มีพลังงานบางอย่าง ที่สามารถขับไล่ภูตผีปีศาจ สิ่งอัปมงคลได้ แล้วทำไม เหรียญบาทปีอื่นๆ ถึงไม่เป็นที่นิยม หรือไม่มีฤทธิ์แบบนี้ เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว กระผมก็เลยจะนำเรื่องราวนี้ มาไขข้อข้องในในฉบับของ โหราศาสตร์ กันดีกว่า มันจะยาวหน่อย แต่ได้ความรู้แบบสนุกๆ
ประการแรก รูปลักษณ์ของพญาครุฑ เหรียญครุฑรุ่นนี้ เป็นลักษณะเฉพาะ คือ ช่วงขาของครุฑ ในปี ๒๕๑๗ นั้น เป็นลักษณะเหยียดตรง เพื่อโฉบเข้าไปจัดการเหยื่อ แม้เหรียญบาทปี ๒๕๑๕ นั้นจะมีลักษณะเดียวกัน แต่ลักษณะเหรียญเป็นเหลี่ยมๆ ไม่กลมเหมือนเหรียญปี ๒๕๑๗ พญาครุฑ ก็ต้องอาศัยธาตุลมในการออกฤทธิ์ ถ้าเหลี่ยมๆ ก็ไม่เป็นธาตุลม ในลักษณะของปีอื่นๆ จะเป็นลักษณะงอเข่าตลอด มีความแปลกน่าสนใจสำหรับปี ๒๕๑๗
ประการที่สอง ตัวเลขของปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ใช้หลักเลขศาสตร์ของดวงดาว ตัวเลขเหล่านี้ แทนดวงดาวได้ด้วย จับคู่แรก ๒ กับ ๕ นี่คือคู่ธาตุดิน และ ๑ กับ ๗ เป็นคู่ธาตุไฟ และเหรียญกลม เป็นธาตุลม วัสดุเหรียญที่ทำ เป็นนิกเก้ล เกิดจากการหลอมเหลวของโลหะมีธาตุน้ำแฝงอยู่ จึงจัดได้ว่า เป็นเหรียญ ธาตุครบ และตัวเลข ๕๑๗ นี้ สำคัญนัก ที่จะดันให้พญาครุฑ มีกำลังมากโดยไม่ต้องปลุกเสก นั่นคือ ตำนานชาติเวร ที่นักโหราศาสตร์ต้องร่ำเรียนและจดจำ มาใช้ในการพยากรณ์ คือเรื่องของ พระอินทร์ พระยาครุฑ พระยาราชสีย์ พระยานาค พระราหู โดยเรื่องราวมีดังนี้
ในปฐมกัลป์อันล่วงมานานแล้ว พระอาทิตย์ ๑ พระอังคาร ๓ พระฤหัสบดี ๕ พระเสาร์ ๗ ได้เกิดเป็นเทวดา สี่องค์ มีดำริ จะสร้างดิน แลน้ำ ไว้เป็นที่อาศัยแก่หมู่สัตว์ทั้งหลาย และมีความเห็นว่า พระราหูมีฤทธิ์มาก ควรจะเป็นกำลังในการสร้างครั้งนี้ด้วย แต่พระราหูได้ตอบปฏิเสธไปอย่างไม่แยแสว่า
... ดูกรสหายทั้งสี่ อันตัวเรานี้จะอยู่บนดิน หรือในน้ำก็หามิได้.. การสร้างครั้งนี้ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา ท่านจงสร้างโดยลำพังเองเถิด...
เทพบุตรทั้งสี่ ก็มีความแค้นเคืองพระราหู เป็นอันมาก จึงกลับมาประชุมกัน สร้างดินและน้ำ ขึ้นตามความปรารถนา มีน้ำอมฤตเกิดขึ้นในครั้งนั้น แล้วเทวดาทั้งสี่ ได้แบ่งหน้าที่กันรักษา #พระพฤหัสบดี๕ เป็นพระอินทร์ รักษาเขาสุเมรุราช #พระอาทิตย์ ๑ เป็นพระยาครุฑ รักษาเขาสัตตปริพันธ์ทั้งเจ็ด พระอังคาร ๓ เป็นพระยาราชสีห์ รักษาป่าหิมพานต์ #พระเสาร์ ๗ เป็นพระยานาค รักษาพระมหาสมุทร (จำตัวเลขกันไว้ดีๆนะ)
ครั้นนานมา ถึงคราวจะเกิดกรรมวิบาก ชาติเวร แก่กัน พระยาครุฑ(๑)ได้เห็นพระยานาค(๗) ก็อยากจะกินเป็นอาหาร จึงได้สำแดงฤทธิ์เข้ารุกไล่พระยานาค พระยานาคสู้ไม่ได้ ก็หนีไปพึ่งพระราหู พระราหูจึงได้ ร้องตวาดพระยาครุฑด้วยถ้อยคำอันหยาบช้าว่า
.... เหวยๆ พระยาครุฑ คิดทุจริต ทำร้ายมิตรสหาย
ว่าแล้ว พระราหู(๘)ก็ไล่พิฆาตพระอาทิตย์(๑) พระอาทิตย์ สู้ไม่ได้ก็หนีไปยังสำนักพระอินทร์(๕) พระราหู(๘)ไล่ไม่ทัน เกิดความกระหาย จึงตรงไปดื่มน้ำอมฤต พระอินทร์(๕)เห็นดังนั้นก็ทรงพิโรธพระราหู(๘) ที่บังอาจมาดื่มน้ำอมฤต และตวาดด้วยเสียงอันดังว่า
....เหวยๆ ไอ้ราหู มึงไม่ได้อยู่ในน้ำ ไม่ได้อยู่บนดิน เหตุไฉน มาดื่มน้ำอมฤตของกูเล่า
ว่าแล้ว พระอินทร์(๕)ก็ได้ขว้างจักเพชร ต้องพระราหู กายขาดออกเป็นสองท่อน แต่หาตายไม่ ด้วยเหตุว่าได้ดื่มน้ำอมฤตนั้น พระราหูจึงได้หนีไปยังสำนักของตน
เลข ๕ (แทนดาวพฤหัสบดี) และ ๑ (แทนพระอาทิตย์) เป็นคู่มิตรใหญ่ เมื่อมาอยู่ติดกัน กำลังจึงล้นเหลือ และเมื่อ ๑ ไปอยู่ติดกับ ๗ (ดาวพระเสาร์) ได้คู่ธาตุไฟ กำลังมากทวีคูณ แม้กระทั่ง ๕ เอง ก็ยังได้คู่ธาตุ เลข พ.ศ.ที่มาบรรจุไว้ในเหรียญ จึงทำให้เหรียญมีพลังงาน ดันพระอาทิตย์ หรือพยาครุฑ ให้มีกำลังสูงมากๆ
ประการสุดท้าย ในปี พ.ศ.๒๕๑๗ ดาวพฤหัสบดี (๕) ซึ่งเป็นตัวแทนของความเข้มขลัง ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์ ฤาษี โคจรอยู่ที่ ราศี กุมภ์ ซึ่งมี ราหู(๘) เป็นเจ้าเรือน โดยตำนานชาติเวรนั้น ราหูถูกสร้างจากผีโขมด แต่เมื่อมีดาวพฤหัสบดีโคจรเข้ามาแล้ว ผีโขมด สิ่งอัปมงคล ก็พลันสลายตายจากไปหมด
ทั้งหมดนี้ จึงทำให้เหรียญบาท พ.ศ.๒๕๑๗ เข้มขลังแม้ไม่ได้ผ่านการปลุกเสกแต่อย่างใด โดยอาศัยรูปลักษณ์ เลขศาสตร์จากดวงดาว และโหราศาสตร์ สร้างสรรค์ขึ้นมาเรียกรวมๆว่า ได้รับพลังงานจากธรรมชาตินั่นเอง ผู้เขียนเองก็คิดว่า ผู้สร้างเหรียญปีนี้คงไม่ได้จงใจจะให้เป็นของขลังหรอกครับ แต่ว่ามันถูกต้องตามหลักการหมดเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกมากเลยทีเดียว จึงนำมาเขียนให้อ่านกัน ใครกลัวผี ก็พกไว้ได้เลย แก้อาถรรพ์ ขับไล่ภูตผีปีศาจ นอนไม่ถูกอำ ด้วยฤทธิ์แห่งพยาครุฑ
โหราปุญ บุญอสุราฤทธิ์.
อภินิหารอาจารย์เสริฐ
อภินิหารอาจารย์เสริฐ
ตอนที่ ๑.(ขอบคุณจากเพจเรื่องเล่า.ความหลัง)
พวกชอบไสยศาสน์น้อยคนที่จะไม่รู้จักอาจารย์เสริฐ ผมเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ วันหนึ่งเพื่อนผมมาเล่าถึงความมหัศจรรย์ของอาจารย์เสริฐ ผมอยากพิสูจน์ วันนั้นเพื่อนผมจึงพาไปที่บ้านอาจารย์เสริฐที่หลังสถานทูตจีน ผู้คนเข้าคิวคอยพบอาจารย์ เพื่อนผมขาใหญ่แซงเข้าพบก่อน คนที่ไปหาอาจารย์เสริฐล้วนแต่มีปัญหา ขอโน่น ขอนี่ เรื่องคู่ครองบ้าง เรื่องการลงทุนบ้าง จิปาถะ สำหรับผมไม่มี บอกกับอาจารย์ตรงๆว่าอยากมาดูว่าอาจารย์เสกอะไรได้บ้าง อาจารย์เสริฐรู้ว่าผมเป็นตำรวจ มาลองของ นิ่งไม่ออกอาการ พูดว่า “ไม่เห็นกับตาก็หาว่าเล่นกล สงสัยอะไรก็ตรวจได้” งานแรกอาจารย์ให้ผมหยิบไพ่ที่คว่ำไว้ เหลือเชื่อ ไม่ว่าผมจะหยิบสักกี่ครั้งก็ได้แต่ไพ่ใบเดิม หยิบไปประมาณ ๑๐ ครั้ง ผมให้อาจารย์หงายไพ่ให้ดูทั้งสำรับมันก็เป็นไพ่ปกติมีทุกหน้า เอาละ มันอาจจะบังเอิญก็ได้ งานที่สอง อาจารย์มีหัวกะโหลกค่าง ๑ หัว ลอกหนังออกหมดเหลือแต่กระดูกขาวโพลนแห้งสนิท อาจารย์เรียกเจ้าหัวกะโหลกว่า “หนุมาน” อาจารย์เอาหัวกะโหลกมาวางตรงหน้าผมแล้วอาจารย์ก็ถามคำถามให้ “หนุมาน” ตอบ หลายคำถาม คำตอบจะเป็น “ใช่” กับ “ไม่ใช่” ถ้าจะต้องตอบว่า “ใช่” “หนุมาน” ก็จะพยักหน้า ผมหยิบเจ้ากะโหลกขึ้นมาดูมันก็กระดูกธรรมดาๆวางบนพื้นกระดาน อาจารย์พูดย้ำ “ถ้าไม่มาดูกับตาก็หาว่าเล่นกล” แล้วอาจารย์เสริฐก็สั่งเจ้า “หนุมาน” ว่า “ตอบให้มันชัดๆหน่อย” ทันใดนั้น “หนุมาน”ก็กระโดดลอยหมุนขึ้นไปบนอากาศ ๒-๓ รอบแล้วลงมากองบนพื้นตามเดิม ยังไม่พอ อาจารย์เสริฐหยิบดินสำดำแท่งหนึ่งวางกับพื้นแล้วบอกว่า “เจ้างู วิ่งไปกัดหนุมาน” (ดินสอดำที่วางไปนั้นก็คืองู) สิ้นคำสั่ง ดินสอดำแท่งนั้นก็พุ่งตรงไปยังหัวกะโหลกอย่างรวดเร็ว ผมกับเพื่อนนั่งดูอยู่ใกล้ๆห่างไม่เกิน ๑ เมตร กลางวันสว่างๆ ผมจับดินสอ หัวกะโหลกค่างขึ้นดูก็ไม่เห็นมีอะไร ไม่มีอุปกรณ์กลไกเหมือนกับพวกที่เล่นกลใช้ ลาอาจารย์กลับ ขากลับแอบไปสำรวจใต้พื้นห้อง (อาจารย์แสดงอภินิหารบนพื้นบ้านชั้นที่ ๒ ) ผมตรวจพื้นกระดานชั้นล่างใต้จุดที่แสดง ปกติไม่มีอะไร กลับไปด้วยความงุนงง
พวกชอบไสยศาสน์น้อยคนที่จะไม่รู้จักอาจารย์เสริฐ ผมเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ วันหนึ่งเพื่อนผมมาเล่าถึงความมหัศจรรย์ของอาจารย์เสริฐ ผมอยากพิสูจน์ วันนั้นเพื่อนผมจึงพาไปที่บ้านอาจารย์เสริฐที่หลังสถานทูตจีน ผู้คนเข้าคิวคอยพบอาจารย์ เพื่อนผมขาใหญ่แซงเข้าพบก่อน คนที่ไปหาอาจารย์เสริฐล้วนแต่มีปัญหา ขอโน่น ขอนี่ เรื่องคู่ครองบ้าง เรื่องการลงทุนบ้าง จิปาถะ สำหรับผมไม่มี บอกกับอาจารย์ตรงๆว่าอยากมาดูว่าอาจารย์เสกอะไรได้บ้าง อาจารย์เสริฐรู้ว่าผมเป็นตำรวจ มาลองของ นิ่งไม่ออกอาการ พูดว่า “ไม่เห็นกับตาก็หาว่าเล่นกล สงสัยอะไรก็ตรวจได้” งานแรกอาจารย์ให้ผมหยิบไพ่ที่คว่ำไว้ เหลือเชื่อ ไม่ว่าผมจะหยิบสักกี่ครั้งก็ได้แต่ไพ่ใบเดิม หยิบไปประมาณ ๑๐ ครั้ง ผมให้อาจารย์หงายไพ่ให้ดูทั้งสำรับมันก็เป็นไพ่ปกติมีทุกหน้า เอาละ มันอาจจะบังเอิญก็ได้ งานที่สอง อาจารย์มีหัวกะโหลกค่าง ๑ หัว ลอกหนังออกหมดเหลือแต่กระดูกขาวโพลนแห้งสนิท อาจารย์เรียกเจ้าหัวกะโหลกว่า “หนุมาน” อาจารย์เอาหัวกะโหลกมาวางตรงหน้าผมแล้วอาจารย์ก็ถามคำถามให้ “หนุมาน” ตอบ หลายคำถาม คำตอบจะเป็น “ใช่” กับ “ไม่ใช่” ถ้าจะต้องตอบว่า “ใช่” “หนุมาน” ก็จะพยักหน้า ผมหยิบเจ้ากะโหลกขึ้นมาดูมันก็กระดูกธรรมดาๆวางบนพื้นกระดาน อาจารย์พูดย้ำ “ถ้าไม่มาดูกับตาก็หาว่าเล่นกล” แล้วอาจารย์เสริฐก็สั่งเจ้า “หนุมาน” ว่า “ตอบให้มันชัดๆหน่อย” ทันใดนั้น “หนุมาน”ก็กระโดดลอยหมุนขึ้นไปบนอากาศ ๒-๓ รอบแล้วลงมากองบนพื้นตามเดิม ยังไม่พอ อาจารย์เสริฐหยิบดินสำดำแท่งหนึ่งวางกับพื้นแล้วบอกว่า “เจ้างู วิ่งไปกัดหนุมาน” (ดินสอดำที่วางไปนั้นก็คืองู) สิ้นคำสั่ง ดินสอดำแท่งนั้นก็พุ่งตรงไปยังหัวกะโหลกอย่างรวดเร็ว ผมกับเพื่อนนั่งดูอยู่ใกล้ๆห่างไม่เกิน ๑ เมตร กลางวันสว่างๆ ผมจับดินสอ หัวกะโหลกค่างขึ้นดูก็ไม่เห็นมีอะไร ไม่มีอุปกรณ์กลไกเหมือนกับพวกที่เล่นกลใช้ ลาอาจารย์กลับ ขากลับแอบไปสำรวจใต้พื้นห้อง (อาจารย์แสดงอภินิหารบนพื้นบ้านชั้นที่ ๒ ) ผมตรวจพื้นกระดานชั้นล่างใต้จุดที่แสดง ปกติไม่มีอะไร กลับไปด้วยความงุนงง
วันต่อมาไปเล่าให้คุณณรงค์ เสวลักษณ์ กับ เสธ.น้อยฯ (นายทหารนักปฏิวัติ) ฟัง สองคนนี่ไม่เชื่ออีกหาว่าผมเหลวไหล ผมเลยต้องพาสองคนนี่ไปหาอาจารย์เสริฐ ทั้งสองคนก็จะต้องผ่าน ๒ ด่านเช่นเดียวกับที่ผมเจอมา ต่างก็เป็นงง คราวนี้อาจารย์เสริฐบอก เสธ.น้อยฯให้เอาพระเลี่ยมกรอบทองซึ่งแขวนสร้อยที่คอออกมา เสธ.น้อยฯเอาพระส่งให้ เป็นพระสมเด็จฯ อาจารย์เสริฐเอาพระวางใส่ในแก้วน้ำเปล่าๆไม่มีน้ำ อาจารย์ถามพระว่า “มีพุทธคุณทางด้านไหนบ้าง อยู่ยงคงกระพันมีไหม” พระสมเด็จกระดิกเล็กน้อย อาจารย์ถามใหม่ “เมตตา มหานิยมมีไหม” คราวนี้พระสมเด็จกระดิกแรงจนกรอบที่เลี่ยมตีกับข้างถ้วยแก้วดัง “เพี๊ยบๆๆ”ประมาณ ๓ ครั้ง อาจารย์ถามอีก “บูชาด้วยอะไรจะดี มะลิดีไหม” พระสมเด็จกระดิกนิดหน่อย “หรือบูชาด้วยดอกกุหลาบ” คราวนี้พระสมเด็จตีกับข้างถ้วยเสียงดังลั่น ๒-๓ ครั้งจนผมกลัวแก้วจะแตก อาจารย์เสริฐสั่งอีก “เอาให้มันชัดเจนหน่อยซิ” ทันใดนั้นพระสมเด็จที่อยู่ในแก้วก็ดีดตัวขึ้นไปบนอากาศสูงขึ้นไปเกือบเมตร หมุนควงหลายรอบ เสธ.น้อยฯต้องรีบกระโดดคว้ารับไว้เพราะกลัวล่วงลงมาแตก นี่เป็นความมหัศจรรย์ของอาจารย์เสริฐซึ่งป่านนี้ผมก็ยังพิสูจน์ไม่ได้
ผมไปเล่าให้ใครต่อใครฟังแรกๆก็ไม่เชื่อและขอให้พาไปดู ผมก็ต้องพาไปอีก พอพาไปพบคนเหล่านั้นก็กลายเป็นศิษย์อาจารย์เสริฐ ตามไปขอโน่น ขอนี่ อาจารย์เสริฐกลายเป็นที่พึ่งทางใจ สิ่งที่อาจารย์เสริฐทำสำเร็จได้ผลก็คือเรื่องของความรัก ทำให้คู่รักได้รักกันและแต่งงานกันไปหลายคู่ ไม่ใช่ดังเฉพาะในเมืองไทย โน่นไปถึงมาเลเซีย สิงคโปร์
ผมศึกษาและติดตามพฤติกรรมของอาจารย์เสริฐด้วยความฉงนสนเท่ห์ กระทั่งได้พบกับ พ.ต.ท.อดุลย์ บุญเศรฐ นายตำรวจนักสร้างภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเพื่อนกับผม ปัจจุบันหันไปเอาดีทางการเมือง พ.ต.ท.อดุลย์ฯเล่าให้ฟังถึงความมหัศจรรย์พันลึกของอาจารย์เสริฐ บุกป่าเข้าถ้ำพาไปเอาเหล็กไหลที่ถ้ำผาบ่อง จังหวัดเชียงราย ผจญภัยกับงูยักษ์ลำตัวโตเท่าคนโอบนอนเฝ้าเหล็กไหล ฟัง พ.ต.ท.อดุลย์เล่าการผจญภัยเหมือนกับนิยายขายดีเรื่อง “เพชรพระอุมา” ของ พนมเทียน พ.ต.ท.อดุลย์ฯบอกว่าถ้าไม่เชื่อให้ไปถาม พล.ต.ต.เวทย์ เพชรบรมซึ่งไปเอาเหล็กไหลด้วยกัน ผมไม่ยอมหยุดเพราะต้องการค้นคว้าหาความจริง ดั้นด้นไปพบ พล.ต.ต.เวทย์ฯซึ่งขณะนั้นรับราชการเป็นผู้บังคับการตำรวจ ๑๙๑ พล.ต.ต.เวทย์ เพชรบรมเล่าเหตุการณ์ตอนประจันหน้ากับงูยักษ์เกล็ดใหญ่เท่าฝ่ามือ ในตาแดงเหมือนแสงไฟ พล.ต.ต.เวทย์ฯเล่า “นึกว่าต้องเอาชีวิตไปทิ้ง” แต่ก็ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ สั่งตำรวจ ๑๙๑ สี่นาย พร้อมอาวุธปืน M.16 คนละกระบอกประทับเล็งที่งูยักษ์ หากงูทำอันตรายผู้การเวทย์ฯพลแม่นปืนก็พร้อมลั่นไกสังหารเจ้างูทันที ติดตามอภินิหารอาจารย์เสริฐ ตอนที่ ๒ “ตามล่าหาเหล็กไหล ผจญงูยักษ์แห่งถ้ำผาบ่อง”
การผจญกับงูยักษ์ที่นำมาเล่านี้ได้มาจากบุคคลที่เชื่อถือและบางคนยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอาจารย์เสริฐเจ้าของตำนานเดี๋ยวนี้ยังพำนักอยู่หลังสถานทูตจีน บางครั้งอาจารย์เสริฐต้องหลบหนีผู้คนที่ไปรบกวนจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติสุข ผมเคยตามล่าหาอาจารย์เสริฐโดยลงทุนเช่าเวลาสถานีวิทยุออกอากาศตามหา จึงได้ทราบว่ามีจำนวนมากที่ทราบถึงอภินิหารนี้ ในที่สุดก็ตามได้ หนีไปบวชอยู่ที่วัดดอนยานนาวา ผมเอาเรื่องไปออกอากาศผู้คนแห่ไปหาที่วัดดอนจนอาจารย์เสริฐต้องหนีอีก ที่ต้องตามหาอาจารย์เสริฐก็เพราะมีเรื่องต้องไปขอความช่วยเหลือทั้งนั้น หลายคนประสบความสมหวังจากอาจารย์เสริฐถึงขนาดซื้อบ้านพร้อมที่ดินให้เป็นรางวัลตอบแทน ส่วนมากเป็นเรื่องคู่ครอง บางรายอุ้มอาจารย์เสริฐไปทำพิธีกรรมที่บ่อนในมาเก๊า เล่นบาการ่าจนร่ำรวย แต่สำหรับผมไม่ประสบความสำเร็จ มีเหตุให้ “งอน”กันไปพัก เรื่องอะไรติดตาม
เรื่องของเหล็กไหลที่ถ้ำผาบ่องผู้ที่จะยืนยันได้คือ พ.ต.ท.อดุลย์ บุญเศรษฐ์ กับคุณมานิตย์อดีตผู้บริหารระดับสูงของธนาคารแห่งหนึ่งผมจำนามสกุลไม่ได้ ส่วน พล.ต.ต.เวทย์ เพชรบรมท่านเสียชีวิตไปแล้ว ข้อมูลที่ผมจะเล่าต่อไปนี้จากคำบอกกล่าวของ พล.ต.ต.เวทย์ เพชรบรม ผู้บังคับการตำรวจ ๑๙๑ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ ฟังให้จบก่อนนะครับแล้วจะรู้ว่าผมติดตามล่าพิสูจน์หาความจริงในเรื่องนี้เพียงใด ติดตามไปได้ระยะหนึ่งก็ถอดใจ ไม่ได้ประโยชน์อะไร ท่านผู้อ่านอาจจะทำต่อจากผมก็ได้
ผู้การเวทย์ฯเล่า ทราบจากอาจารย์เสริฐฯว่ามีเหล็กไหลอยู่ในถ้ำผาบ่อง จังหวัดเชียงใหม่ สมัยนั้นเมื่อเอ่ยถึง “เหล็กไหล” เป็นความเชื่อของคนบางกลุ่มว่ามันมีอยู่จริงและมีค่ามาก มีตำนานเรื่องเหล็กไหลเล่าขานกันมาหลายเรื่อง หลายสถานที่ และ ที่มีหลอกต้มตุ๋นกันจนเสียเงินเป็นร้อยๆล้านบาทก็มีเพราะมีคนไปเชื่อว่าเหล็กไหลมีอานุภาพ อยู่ยงคงกระพัน มีอภินิหารดลบันดาลให้เกิดอะไรก็ได้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เชื่อกันว่าเหล็กไหลมันจะไหลไปเรื่อยๆ ไม่อยู่เป็นที่ เรื่องเหล็กไหลเคลื่อนที่ได้จึงเกิดเป็นตำนานที่หาจุดจบไม่ได้ ดังที่ผมจะเล่าต่อไป
ผู้การเวทย์ฯมีความต้องการเหล็กไหลเมื่อไปเจอกับ พ.ต.ท.อดุลย์ บุญเศรษฐ์ นักจินตนาการเข้าก็ไปกันใหญ่ และยังมีคุณมานิตย์ฯอดีตนายธนาคารเข้าร่วมจึงเป็นสามเกลอจับมือกันตามล่าหาเหล็กไหล คณะล่าศึกษาเส้นทางไปเอาเหล็กไหล เตรียมหาอุปกรณ์ป้องกันหากเกิดภัยอันตราย ถ้ำผาบ่องอยู่ในป่าลึกต้องลุยป่าปีนเขา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือมีงูใหญ่ยักษ์นอนเฝ้าอยู่ อาจารย์ฯรับจัดการกับงูยักษ์ด้วยคาถาอาคม ส่วนผู้การเวทย์ฯบอกว่าอาคมสู้ปืนไม่ได้จึงได้เตรียมตำรวจ ๑๙๑ จำนวน ๔ นาย พร้อมอาวุธปืน M.16 บรรจุกระสุนเต็มแม็ก ติดตามผู้การเวทย์เป็นองครักษ์ โดยสั่งไว้ว่าหากงูยักษ์เข้ามาทำร้ายฉกกัดอาวุธ M.16 ทั้งสี่กระบอกต้องระดมกระหน่ำจนหมดกระสุน ความมีค่าของเหล็กไหลกับเรื่องต้องการพิสูจน์ทำให้คณะตามล่าตัดสินใจ ตายเป็นตาย ผู้การเวทย์ฯกับตำรวจลูกน้องแต่งเครื่องแบบ พ.ต.ท.อดุลย์ฯพกปืนรีวอลเวอร์ขนาด. 38 คู่กายไปด้วย อาจารย์เสริฐฯในชุดนุ่งขาวห่มขาวถือพานธูปเทียน รวมคณะแล้วประมาณ ๑๐ คน ระหว่างทางที่เดินลุยป่าทุ่งหญ้าเพื่อบุกเข้าถ้ำผาบ่องผ่านบ้านมีผู้คน พอชาวบ้านรู้ว่าจะไปถ้ำผาบ่องต่างนั่งลงยกมือไหว้ท่วมหัว ร้องขอ “เจ้าประคุ้น…อย่าไปเลย มันอันตาย งูมันใหญ่จริงๆ” ผู้การเวทย์ฯนึกเสียวสันหลัง สงสัยจะเอาชีวิตไปทิ้ง ต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ เมื่อไปถึงถ้ำซึ่งต้องขึ้นเนินเขาไป มีทางลงเข้าปากถ้ำค่อนข้างแคบ เมื่อลงไปประมาณ ๓๐ เมตรจะเป็นลานกว้าง อาจารย์เสริฐฯให้ผู้การเวทย์ฯลงไปกับอาจารย์เพียง ๒ คน ที่เหลือให้ยืนรอที่ปากถ้ำ จากปากถ้ำมองลงไปยังลานที่จะต้องทำพิธีเรียกเหล็กไหลค่อนข้างมืดสลัว อาจารย์เสริฐฯสั่งไม่ให้ใช้แสงสว่างเพราะจะทำให้งูตกใจ ผู้การเวทย์ฯสั่งเสียลูกน้องเป็นครั้งสุดท้าย “ถ้างูทำอะไรผม พวกคุณยิงได้เลย” พลแม่นปืนจาก ๑๙๑ เชื่อมั่นในความแม่นยำยืนเปิดระยะห่างประทับปืนเตรียมพร้อม ก่อนลงไปในถ้ำอาจารย์เสริฐฯให้ผู้การเวทย์ฯถือบาตรพระเอาผ้าแดงคลุมแล้วมัดผ้าอย่างแน่นหนา บอกว่าบาตรนี้จะเป็นที่รองรับเหล็กไหล ผ้าแดงที่ปิดคลุมเป็นผ้ายันศักดิ์สิทธิ์ห้ามแกะ เมื่อได้เหล็กไหลมาแล้วจะอยู่ในบาตร์ไม่สามารถจะไหลออกไปได้ ผู้การเวทย์ฯรับบาตรมาเขย่าๆเป็นบาตรเปล่าๆไม่มีอะไรอยู่ภายใน
อาจารย์เสริฐฯถือพานธูปเทียนเดินนำหน้า ผู้การเวทย์ฯถือบาตรพระห่อด้วยผ้ายันสีแดงเดินตามลงไปในถ้ำ คณะผู้ติดตามรออยู่ปากถ้ำด้วยใจระทึก อีกไม่กี่นาทีอะไรจะเกิด ไม่อาจารย์เสริฐฯหน้าแตกก็ผู้การเวทย์โดนงูขบตาย เมื่อไปถึงลานพักในถ้ำอาจารย์เสริฐฯจุดธูปกำใหญ่ปักที่พื้นแล้วบริกรรมคาถาเป็นภาษาเขมร ผู้การเวทย์บอกว่าขนลุกซู่เลยเพราะมีลมจากในถ้ำเป็นลมเย็นๆปะทะออกมา ธูปที่จุดไว้โดนกระแสลมทำให้ลุกสว่างแดงโชน ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเหมือนมีสิ่งเคลื่อนที่ออกมาจากในถ้ำ ผู้การเวทย์เพ่งสายตามองตามเสียง เสียงดังใกล้เข้ามาๆๆ มองเห็นเป็นลำตัวงูยักษ์ดำมะเมื่อม มีเกล็ดมันปราบ ลำตัวโตเท่ากระบุง(ผู้การเวทย์ใช้คำพูดนี้จริงๆ) คำว่า “กระบุง” ก็คือภาชนะใส่ของๆคนชนบท มีความโตขนาดเล็กกว่าคนโอบ เส้นผ่าศูนย์กลางคงประมาณ ๑ ฟุตกว่าๆ นัยตางูยักษ์สองข้างสีแดงเพลิงโตขนาดฝ่ามือ งูยักษ์เลื้อยมาใกล้ๆจนลมเข้ามาปะทะ ผู้การเวทย์นึกในใจ เป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์แน่ “นายพลตำรวจถูกงูกัดตาย” อาจารย์ร่ายคาถาเป็นภาษาเขมรดังขึ้นๆพร้อมสั่งผู้การเวทย์ “ชูบาตรขึ้นๆ” ผู้การเวทย์ทำตามที่อาจารย์สั่งพร้อมหลับตาปี๋เพราะงูยักษ์ประชิดตัวแล้ว คราวนี้อาจารย์เสริฐเปลี่ยนเป็นออกคำสั่งชัดเจนด้วยถ้อยคำภาษาไทย
“ผู้การเวทย์ต้องการเหล็กไหลเพื่อไปแจกจ่ายลูกน้องติดตัว ให้แคล้วคลาดจากภยันตรายในการรักษาความสงบเรียบร้อยบ้านเมือง” สิ้นคำพูดทุกอย่างเงียบเฉย งูยักษ์ยังอยู่ข้างหน้าในระยะห่างไม่ถึงเมตร ชูหัวแผ่แม่เบี้ยสูงขึ้นไปเป็นวา
อาจารย์เสริฐเปลี่ยนคำพูดใหม่ “ผู้การเวทย์ต้องการเอาเหล็กไหลไปขาย เอาเงินไปทำนุบำรุงบ้านเมือง” สิ้นคำพูดลมเย็นเข้ามาปะทะจนผู้การเวทย์ต้องลืมตาขึ้น เห็นกลุ่มธูปไฟแดงโชนเนื่องจากโดนลม อาจารย์เสริฐสั่งผู้การเวทย์ “ชูบาตรขึ้นสูงๆๆ” ผู้การทำตาม ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสิ่งของเป็นโลหะมีน้ำหนักล่วงสู่ก้นบาตรดัง “แคล๊ง” มีความรู้สึกว่างูยักษ์กำลังเคลื่อนตัวกลับเข้าถ้ำไป อาจารย์เสริฐบอกว่างูยักษ์คายเหล็กไหลออกมาจากปากให้ ผู้การเวทย์เขย่าบาตรอย่างแรง น่าอัศจรรย์มีวัตถุผ่านผ้าแดงที่มัดคลุมเข้าไปได้อย่างไร เสียงดังแคล๊งๆแสดงว่าเหล็กไหลยังอยู่ อาจารย์เสริฐสั่งห้ามเปิดผ้ายันเด็ดขาดมิฉะนั้นเหล็กไหลจะหายไป คณะก็เพียงรับรู้ว่ามีโลหะอะไรสักอย่างอยู่ในบาตรแต่มองไม่เห็นว่าเป็นอะไรแน่ (ที่ผมบอกตอนแรกว่าเหล็กไหลมันไหลได้ มันจึงเกิดตำนานเล่าขาน ไม่รู้เรื่องจริงหรือหรอก ถ้าผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยผมต้องเอาไป X-RAY แน่นอน)
เป็นอันว่าผู้การเวทย์รอดตาย คณะพากันเดินออกมาพ้นปากถ้ำ พ.ต.ท.อดุลย์ฯไวกว่าเพื่อนเอาบาตรวางกับพื้นหยิบปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด.๓๘ ออกมายิงไปที่บาตรดังกล่าวทันที กระสุนด้านยิงไม่ออก ทุกคนเฮ (ทำไมไม่เอา M.16 กดเข้าไปสักชุดให้มันรู้เรื่องรู้ราวไปเลย) ผมไม่ได้พูดปดมดเท็จว่าไปตาม พ.ต.ท.อดุลย์เล่า ตอนนี้เจ้าตัว(พ.ต.ท.อดุลย์)ก็ยังอยู่ที่จังหวัดพิจิตร ใกล้เลือกตั้งแล้วใครเจออย่าลืมถามเรื่องนี้ด้วยนะครับ
คณะติดตามหาเหล็กไหลพากันเดินทางกลับ เหล็กไหลอยู่ในบาตรพระมีผ้ายันสีแดงผูกมัดมองไม่เห็น สัมผัสได้เพียงเขย่าบาตรแล้วมีเสียง แล้วมันจะแบ่งกันยังไง ใครๆก็อยากได้โดยเฉพาะ ๓ ท่าน ๑ พล.ต.ต.เวทย์ ๒ พ.ต.ท.อดุลย์ ๓ คุณมานิตย์ จะเปิดผ้าแดงเอาเหล็กไหลออกมาเฉาะก็ไม่ได้เพราะมันจะไหลหายไปทันที ปัญหาเรื่องแบ่งเหล็กไหลหมดไปโดยอาจารย์เสริฐบอกว่า “ต้องแบ่งด้วยอาคม” อาจารย์เสริฐสั่งให้คนช่วยกันหาลูกมะพร้าวซึ่งมีตาเดียว (มะพร้าวตาเดียวหายากมากเพราะส่วนมากที่มีอยู่จะเป็น ๓ ตา) ต้องหาลูกมะพร้าวตาเดียวมาให้ได้ ๓ ลูกแล้วอาจารย์เสริฐถึงจะใช้อาคมแบ่งเหล็กไหลเป็น ๓ ชิ้นเก็บไว้ในลูกมะพร้าว
ผมเกิดอาการลุ้นหนัก มันจะหามะพร้าวตาเดียวที่ไหน เมื่อได้มะพร้าวแล้วมันจะแบ่งกันยังไง จับต้องก็ไม่ได้เพราะมันจะไหลหายไปทันที ตอนนี้คณะตามล่าหาเหล็กไหลหยุดพักเรื่องเหล็กไว้ก่อน ต้องแบ่งกำลังไปหามะพร้าวตาเดียวก่อน
ระหว่างรอมะพร้าวตาเดียวจะทำอะไรกับเหล็กไหลดี พ.ต.ท.อดุลย์บอกว่าถ้าศักดิ์สิทธิ์จริง สั่งอะไรก็ได้ ลองเอาไปสะกดลูกเหล็กที่ใช้ปั่นรูเลทดูจะเป็นยังไง การเปิดบ่อนเถื่อนก็เกิดขึ้น ท่านผู้อ่านที่อายุรุ่นเดียวกับผมคงจะได้ยินเรื่องมีคนเอาเรือสัญชาติรัสเซียมาลอยลำแล้วเปิดคาสิโนในเรือ นี่แหละผลงานเจ้านี้เขาละ ไม่สำเร็จอีก เหล็กไหลสั่งลูกเหล็กให้ไปตกในช่องตัวเลขที่ต้องการแทงไม่ได้ วิธีการก็คือให้อาจารย์เสริฐอุ้มบาตรเหล็กไหลอยู่ใกล้ห้องพนันรูเลทแล้วบริกรรมคาถา ออกคำสั่งด้วยอาคมบังคับลูกเหล็กกลิ้งไปตกตามตัวเลขที่ต้องการ ผลปรากฏทำไม่ได้ คณะตามล่าเหล็กไหลเจ๊งกันเป็นแถว อาจารย์เสริฐโดนซักฟอกหนักเรื่องประสิทธิภาพเหล็กไหล อาจารย์เสริฐรอดตัวอีกบอกว่า “เรือมันไม่ค่อยหยุดนิ่ง มันไหวได้ ไม่มีสมาธิบังคับลูกเหล็ก” ไปได้อีกนะอาจารย์ อย่ากระนั้นเลยอาจารย์เสริฐขอเอาเหล็กไหลไปเก็บรักษาไว้ก่อน ห้ามใครยุ่ง เมื่อแบ่งกันแล้วใครจะเอาไปทำอะไรก็เป็นเรื่องของคนนั้น
ติดตามตอนต่อนะครับ จะแบ่งเหล็กไหลกันได้ไหม เหล็กไหลบันดาลให้เกิดอภินิหารอะไรบ้าง หรือเป็นเรื่องหลอกลวง แล้วเดี๋ยวนี้เหล็กไหลไปอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ผมงมงายนะครับ ผมรู้อะไรต้องพิสูจน์ เมื่ออ้างถึงใครผมต้องไปสอบถามเพื่อหาความจริง เล่าให้ลูกเมียฟังเขาว่าผมบ้า ลูกผม อัษฎา อาทรไผท นักเรียนนอกคนสมัยใหม่บอกให้ผมเอาอาจารย์เสริฐไปออกรายการ “ตีสิบ”ของคุณวิทวัส เอ..ถ้าจะดีเหมือนกัน ยังไม่ต้องไปถึงรายการ “ตีสิบ”หรอกครับ แค่ท่านตามผมไปพิสูจน์ก็พอจะวินิจฉัยได้ มันเป็นอะไรกันแน่ ติดตามตอนต่อไป “เหล็กไหลบุกมาเก๊า”
หลายๆคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับอภินิหารของเหล็กไหล ส่วนมากเล่าต่อกันมาจริงเท็จไม่รู้ ผู้ที่ใกล้ชิดเหตุการณ์คือบุคคลที่ผมได้กล่าวถึงในอภินิหารอาจารย์เสริฐ ตอนที่ ๑, ๒ บางคนได้เสียชีวิตไปแล้ว บางคนยังมีชีวิตอยู่แต่ก็ไม่มีใครได้สัมผัสหรือเห็นสภาพจริงๆของเหล็กไหล ส่วนมากจะมีภาชนะหุ้มห่อ ผู้ที่เป็นต้นตอความลับนี้ก็คือ “อาจารย์เสริฐ” ผมไม่เชื่ออะไรง่ายๆถ้าไม่ได้เห็นกับตา จึงต้องตามพิสูจน์หาความจริง
อีกบุคคลหนึ่งที่ผมได้ติดตามหาข้อมูลเพื่อพิสูจน์ความจริง คือ คุณสุทธิพร และคุณนวลตา กรรณสูต สามีภรรยา คุณสุทธิพรฯเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของบริษัทการบินไทย ตอนที่ผมรู้จักคุณสุทธิพรฯเป็นหัวหน้าเขตพื้นที่โซนเอเชีย ผมมีโอกาสพบคุณสุทธิพรและคุณนวลตาฯ ทั้งสองท่านรู้จักอาจารย์เสริฐฯดี เคยพาไปเอาเหล็กไหลที่ถ้ำผาบ่องแต่เอามาไม่ได้ คุณสุทธิพรฯไปกับคุณนวลตาฯ คุณสุทธิพรฯเข้าไปในถ้ำกับอาจารย์เสริฐฯ ยืนยันว่าเห็นงูตัวใหญ่มากเพียงเลื้อยผ่านเข้ามาในระยะใกล้ งูมีเกล็ดใหญ่เท่าฝ่ามือ เกล็ดงูได้บาดที่ลำตัวคุณสุทธิพรฯจนปรากฏเป็นรอย (ผมเริ่มสงสัยว่างูทำไมมีเกล็ด และเกล็ดแข็งถึงกับบาดลำตัวเป็นรอยได้ไง) ผมไม่ได้ซักอะไรคุณสุทธิพรฯมากนักเพราะผมรู้จักอาจารย์เสริฐฯดีอยู่แล้ว ต้องตามหาความจริงให้ได้ (ปัจจุบันคุณนวลตาถึงแก่กรรม ส่วนคุณสุทธิพรฯป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตก ไม่สามารถพูดจาได้)
ย้อนมาถึงเรื่องการแบ่งเหล็กไหล ในที่สุดก็สามารถหามะพร้าวซึ่งมีตาเดียวมาได้ ๓ ใบ นำผลมะพร้าวมาสดๆไม่ต้องปอกเปลือก อาจารย์เสริฐฯทำพิธีแบ่งเหล็กไหลด้วยอาคม นำบาตรที่ผูกผ้าแดงวางแล้วเอามะพร้าว ๓ ลูกวางใกล้ เขย่าบาตรยังได้ยินเสียงโลหะกลิ้งไปมา ขณะทำพิธีทีมงานที่เดินทางไปเอาเหล็กไหลจากถ้ำผาบ่องคอยจ้องดูไม่กระพริบตา อาจารย์เสริฐฯร่ายคาถาเป็นภาษาเขมรนานหลายนาทีแล้วเป่าไปที่บาตรผูกผ้าแดง อาจารย์เสริฐฯตบมือ ๑ ครั้งเป็นสัญญาณบอกว่าเสร็จพิธี ผู้ร่วมพิธีเขย่าบาตรเสียงวัตถุในบาตรหายไป แต่เมื่อไปเขย่ามะพร้าวทั้ง ๓ ลูกจะมีเสียงเหมือนมีของแข็งอยู่ภายในซึ่งก่อนทำพิธีจะไม่มี พล.ต.ต.เวทย์ฯ พ.ต.ท.อดุลย์ฯและคุณมานิตย์ฯเอามะพร้าวบรรจุเหล็กไหลไปคนละลูก อาจารย์ฯเสริฐฯมีวิธีการที่แยบยลซึ่งวิธีนี้ทำให้ไม่มีใครได้เห็นเหล็กไหล ถ้าจะผ่ามะพร้าวออกมาดูอย่าลืมนะครับอาจารย์เสริฐฯย้ำนักย้ำหนาว่า เมื่อไม่มีภาชนะหุ้มห่อเหล็กไหลจะหายไปทันที ทั้งสามคนก็ได้นำเหล็กไหลกลับไป
ผมติดตามเหล็กไหลของ พล.ต.ต.เวทย์ฯว่าไปอยู่ที่ใด ได้ความว่ามีคณะบุคคลพาอาจารย์เสริฐฯนำเหล็กไหลบุกคาสิโนที่มาเก๊าท์ จุดประสงค์เพื่อสะกดลูกเหล็กที่หมุนอยู่ในวงล้อรูเลตให้ตกลงในช่องที่ต้องการ โดยทีมงานนั่งประจำที่โต๊ะรูเลตเตรียมแทงเชื่อว่าอำนาจของเหล็กไหลโดยการใช้อาคมบังคับของอาจารย์เสริฐฯจะสามารถสั่งให้ลูกเหล็กในวงล้อไปตกในช่องที่ทีมงานวางเงินพนัน ทีมงานนั่งประจำโต๊ะเรียบร้อยโดยทางเจ้าหน้าบ่อนคาสิโนไม่ทราบว่ามีการวางแผนที่จะใช้ใช้เวทย์มนต์เพื่อโกงบ่อน ถึงตอนที่อาจารย์เสริฐฯจะต้องทำพิธี อาจารย์เสริฐฯอุ้มลูกมะพร้าวเหล็กไหลเอาผ้าคลุมไหล่บังเดินวนรอบโต๊ะรูเลต ๓ รอบพร้อมกับบริกรรมคาถาเป็นภาษาเขมรเบาๆ การกระทำของอาจารย์เสริฐฯไปรอดพ้นจากสายตาเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของบ่อน ก่อนที่อาจารย์เสริฐฯจะเดินครบ ๓ รอบก็ถูก รปภ.ของบ่อนคุมตัวไปสอบ พบลูกมะพร้าวเหล็กไหลสอบถามอาจารย์เสริฐฯว่ามันคืออะไรและทำไมต้องอุ้มเดินวนรอบโต๊ะรูเลต ถ้าพูดความจริงต้องเป็นเรื่องแน่เพราะเท่ากับวางแผนโกงบ่อน อาจารย์เสริฐฯก็เลยบอกไปว่าเป็นลูกมะพร้าวธรรมดา ที่นำมาเดินวนก็เป็นเรื่องความเชื่อไสยศาสตร์ ชาวต่างประเทศไม่เชื่อไสยศาสตร์อยู่แล้วและเคยเห็นคนไทยพยายามในเรื่องเช่นนี้บ่อยครั้ง รปภ.ปล่อยตัวอาจารย์เสริฐฯไปแต่ยึดลูกมะพร้าวไว้โดยไม่ทราบว่ามีเหล็กไหลอยู่ภายใน คณะเดินทางเลิกล้มเล่นการพนันรีบปลีกตัวออกจากบ่อนแล้วเดินทางกลับ ขืนชักช้าอาจติดคุก จนกระทั่งบัดนี้ไม่มีใครกล้าไปติดตามทวงถามเอาลูกมะพร้าวเหล็กไหลคืนจากบ่อนที่มาเก๊าท์
ผมฟังแล้วเหมือนเรื่องนิยายตลก ไม่ได้ติดตามว่าเหล็กไหลที่เหลืออยู่กับบุคคลอีก ๒ คนจะเป็นไปอย่างไร ยังอยู่หรือไม่ ถึงคราวที่ผมจะต้องเช็คบิลกับอาจารย์เสริฐฯโดยตรง ติดตามตอนต่อไป “ลองของอาจารย์เสริฐฯ”
เมืองมนุษย์กับเมืองของสัตว์
เมืองมนุษย์กับเมืองของสัตว์.
.เสือเจ่าป่าไม่ใด้เอะใจเลย..ปล่อยให้มนุษย์ทำการมัดตัวติดกับต้นไม้....เอ่อทำมัยเจ้าถึงใด้มัดข้าแน่นนักล่ะ..ไม่ใด้หรอกท่านข้าต้องมัดใว้แน่นๆข้ากลัวท่านจะหนีถ้าหากว่าต้องเจอกับมนุษย์จริงๆ.....เอาๆแล้วเจ้ามัดเสร็จหรือยังถ้าเสร็จแล้วก็จงรีบไปพามนุษว์มาให้ข้าเสียเร็วใว......ข้าว่าไม่ต้องไปตามหาหรอกมนุษย์น่ะ...มนุษย์ชายตัดฟืนเอ่ยบอกกับเจ้าป่าเสือโคร่ง..พร้อมกับหาไม้ทีพอเหมาะมือมาถือใว้....... ....นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรรึ!...ข้าเพียงแต่อย่ากจะบอกท่านเจ้าป่าว่ามนุษย์ที่ท่านตามหาบัดนี้ใด้อยู่ตรงหน้าท่านแล้ว..ฮ่า.าาาาาา.มนุษย์ในเมื่อใด้โอกาสก็ใช้ไม้เฆี่ยนตีไป.ที่เสือเจ้าป่าแบบไม่ยั้งไม่ต้องนับ..ตีจนกระทั่งเสือลายไปทั้งตัว.....เสือใด้แต่ร้องโอ้ว.วววหรือโฮก.ๆๆๆในทุกวันนี้..ส่วนลายที่เห็นก็เกิดจากฝีมือมนุษย์ตีนี่เอง....โอ้ว.ๆๆ.ข้ายอมแล้วท่านมนุษย์ปล่อยข้าไปเถอะข้าเชื่อแล้วว่ามนุษย์มีความโหดร้ายจริง...เป็นงัยล่ะรู้จักมนุษย์แล้วใช่มั้ย.....ข้ายอมแล้วปล่อยข้าไปเถอะท่านมนุษย์.......ใด้ แต่ท่านต้องสัญญาว่าจะต้องอยู่แต่ในป่าเท่านั้นห้ามออกมาเดินเพ่นพ่านให้มนุษย์เห็นอีกไม่งั้นจะถลกหนังเจ้าเสีย........ ....มนุษย์ถึงแม้จะมีความโหดร้ายแต่ลึกๆแล้วก็มีความเมตตาอยู่จึงใด้ปล่อยเสือไป....จึงเกิดเป็นคำว่าปล่อยเสือเข้าป่านั่นเอง.. .......ฝ่ายทางพญาเสือโคร่งเจ้าป่าก็รู้สึกเจ็บแค้นและอับอายบริวาลต่อสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายที่ตัวเองเป็นถึงเจ้าป่าแต่ต้องมาเสียทีให้กับมนุษย์จึงใด้แต่หลบๆซ่อนๆ..... ไม่กล้าพบหน้าใคร..มันทำให้เสือเจ็บแค้นถึงกับร้องให้..จึงเป็นที่มาของคำว่าเสือร้องให้นี่เอง...ฝ่ายมนุษย์ผู้ใด้สร้างตำนานใด้กำราบเจ้าป่าก็คุยโวโอ้อวดว่าตัวเองเก่ง.... ..เออนี่ท่านทั้งหลายมีอยู่วันนึงข้าใด้ไปหาฟืนแถวชายป่าข้าใด้เจอกับสัตว์ชนิดนึงซึงบอกว่าเป็นเจ้าป่า.............แล้วจ้าวป่าหน้าตาเป็นงัยล่ะท่าน....หมู่มวลมนุษว์สนใจ....ตัวมันใหญ่มากมีเขี้ยวยาวมีกรงเล็บที่แหลมคมท่าทางดุร้าย.....แล้วท่านทำยังงัยถึงรอดมาใด้.....ฮ่ะะะะข้าก็จับมัดละซิโหท่านนี่เก่งจังเลย.งั้นพวกเราขอยกย่องให้ท่านเป็นผู้นำพวกเราน้ะ....นี่คือจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้นำ..ก็อาจจะเปรียบใด้กับผู้ใหญ่บ้านตอนนี้มั้ง......ข้าอยากเห็นเสือโครงเจ้าป่าแล้วซิ!..ท่านทั้งหลายคงหาไม่เจอหรอกข้าปล่อยเข้าป่าไปแล้ว..แต่ไม่เป็นไรข้าจะเขียนให้ท่านดูว่าหน้าตามันเป็นยังงัย....พูดเสร็จมนุษย์ผู้นำก็หยิบถ่านขึ้นมาแล้วก็วาดรูป
เสือโคร่งลงไปที่หน้าอกของตัวเอง........และนี่ก็คือที่มาของการสักเสือเผ่นในปัจจุบันนี้..มั้ง...โอ้โหสุดยอดเลยท่าน......เวลาผ่านไปใวเหมือนไปเที่ยว...............เสือโคร่งเจ้าป่ามาปรากฎตัวอีกครั้งนะเมืองมนุษย์ในคืนเดือนมืด......เจ้ามนุษย์เอ๋ยคืนนี้แหล่ะข้าจะฉีกเจ้าให้เป็นชิ้นๆเจ้าทำให้ข้าต้องลายไปทั้งตัวความหล่อของข้าไม่มีเหลือเลย.........เสือโคร่งย่องๆเข้ามาหาเป้าหมายคือมนุษย์ที่กำลังนอนหลับอยู่บนบ้านนั่นเอง...แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนมีอะไรกำลังเดินมุ่งหน้าตรงมาที่บ้านหลังเดียวกันกับเสือโคร่งที่กำลังจะขึ้นบ้านอยู่พอดี........เสือโคร่งซึงระวังตัวอยู่แล้วเมือใด้ยินเสียงเดินตรงมาหา........ .จึงใด้หลบเข้าใต้ถุนบ้าน..และใต้ถุนบ้านนี้เองก็มีวัวที่มนุษย์จับมาขังใว้เพื่อใช้งานอยู่สามตัว.........พอวัวเห็นเจ้าป่าก็รู้สึกดีใจจึงร้องทักไปว่า...อ้าวท่านเจ้าป่ามาช่วยพวกเราเหรอ...จุ๊ๆ..อย่าเสียงดังข้าจะมาแก้แค้นพวกมนุษย์ที่ทำกับพวกเรา........ .อะแฮ่ม..มีเสียงกระแอม....เสียงที่เดินตรงมาไม่ใช่ใครที่ใหนมันเป็นสองมนุษย์โจรนั่นเอง...บัดนี้มนุษย์โจรทั้งสองกำลังมุ่งตรงมาที่คอกวัวเพื่อที่จะลักขโมยเอาวัวไปเป็นของตัวเองในบัดนาว........ ....... ....เรื่องราวจะเป็นยังงัยต่อ.....เสือกับโจร..ใครจะอยู่ใครจะไป......และจะเกิดอะไร....ถ้าเสือเจ้าป่า.กับมนุษย์โจรเจอหน้ากัน.....ทำงานก่อนน้ะครั้บพ้ม....ถ้าว่างแล้วจะรีบมาต่อให้..ขอบคุณครั้บ......
ตอนจบ ปิดป่าอาถรร คร่า3ชีวิต
ตอนจบ ปิดป่าอาถรร คร่า3ชีวิต
ผู่ใหญ่บ้านเรียกทุกคนมาถามว่าเหตุการณ์เป็นยังไงถึงได้ยิงถูกกัน มือยิงบอกว่าพี่ชายผมอาสาเดินเข้าไปไล่หมูป่า
เพราะไม่มีคนเย้าไป ระหว่างเขานั่งสุ่มอยู่ได้ยินเสียงนก และกระรอก
ร้องทักมาตลอดทาง สักครู่ก็เห็นหมูป่าเดินตรงมาหาเขา เขาเลยกดเข้า
ไป1นัดแต่ร่างที่ล้มกลายเป็นพี่ชายผม ผู้ใหญ่เลยให็เขาช่วยออกค่าทำจัด
งานบุญและตัวเขาเองก็ออกบวช แม่สั่งห้สมผมเข้าล่าสัตว์โดยเด็ดขาด
แต่ผมไม่ฟังชวนเพื่อนเข้าไปเดินแถวตีนเขาอีก ผมเจอหมูป่าวิ่งขึ้นจากหนองน้ำ
เพื่อนผมวิ่งไปต้อนส่วนตัวผมไปดังหน้า สักครู่มีเสียงเหมือนหมูป่าดินแหวกหญ้า
มาผมยกปืนขึ้นรอทำท่าจะยิงแต่มันมองไม่ชัด ผมเลยเอาหน้าออกมาดูภาพที่เห็น
กลายเป็นขาของเพื่อนผม ผมจึงเรียกว่าเฮ้ยกลับบ้านกันดีกว่าแต่เพื่อนไม่รู้สาเหตุ
เดี๋ยวเราเข้าไปไล่น่ะแล้วเดินหายไป จังหวะนั้นผมไม่เอาแล้วผมเอาปืนตั้งไว้แล้วนั่ง
รอเพื่อนกลับออกมา แต่มีเสียงเดินผมก็นั่งมองเฉยๆหมูป่าเดินตามกันมา5ตัวผมนั่ง
มองมันมันก็มองผม แล้วมันก็วิ่งจากไปเพื่อนผมเดินมาถึงถามว่าเห็น ไหมผมบอก
ยิงไม่ทันเพื่อนและผมก็ชวนเพื่อนกลับบ้านอยู่มาอีกหลายปีมีคนมากรีดยางจ้างแก
ชื่อวี แกชอบล่าสัตว์แกบวนผมเข้าป่านั้นอีกผมไม่เคยเห็นแกยิงอะไรได้แต่แกก็ไป
ทุกวันวันหนึ่งแกชวนผมแล้วบอกผมว่าเข้าป่าต้องใส่หมวกน้องแกโยนหมวกให้ผม
แล้วแกก็เอาโม่งใส่แล้วแม้นขึ้นไว้ถึงขอบหูแต่ขอบโม่งเป็นสีชมพูเรานัดหายเดิน
แบบรูปตัววีผมเดินถึงเป้าหมายก่อนผมนั่งรออยู่เห็นต้นหญ้าแหวกมาเหมือนหมูป่า
ผมยกปืนยึ้นเล็งไปที่กอหญ้าแต่มองสูนปืนไม่ถนัดเลยเงยหน้าขึ้นภาพที่เห็นชัด
คือ ขอบสีชมพูของพี่วีนั้นเองผมเกือบยิงหัวพี่วีส่ะแล้ว ผมนั่งนึกในใจว่าคนที่ยิง
โดนกันคงเป็นคนที่ยิงปืนแบบไม่ยั้งคิดกันมากกว่า
สุดท้ายนี้ขอให้ สหายที่ยังใช้ปืนจงอย่าใช้ปืนโดยประมาท ส่วนตัวผมเอง
เลิกใช้ปืนตลอดชีวิตครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)