อังซูเรย์ #CHAPTER9
มีอยู่ช่วงหนึ่งคณะของณรงค์ ที่เดินมาตามทางด่าน บังเอิญต้องเจอกับเจ้าถิ่นอย่างบังเอิญ มันเป็นไอ้เหลือมขนาดลำกล้วย มันนอนนิ่งอยู่บนกิ่งไม้ที่ทอดขวางทางอยู่ คงนอนรอเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายผ่านทางมา แน่นอนหากมีตัวอะไรผ่านเข้าไปมันคงจะทิ้งตัวมารัดเอาไปเย็นอาหารอันโอชะ โอบิจิเป็นคนเห็นก่อนเขาชี้ใช้มือ หัวหน้าคณะดู ณรงค์เมื่อเห็นขนาดแล้วถึงกับขนลุก เพราะมันใหญ่ขนาดที่ว่าจะสามารถกลืนคนลงไปทั้งคนได้อย่างสบาย ทั้งสามมองหน้ากันส่งสายตาเป็นคำถามจะเอาไงดี เพราะถ้าเป็นเวลาปกติคงล่อเข้าให้ด้วยลูกซองแล้ว จะอ้อมหรือเลี่ยงไปก็ไม่ได้ เพราะฝั่งหนึ่งเป็นป่าหนามรกชัฏอีกฝั่งเป็นผาตัดลงไป มีทางเดียวคือต้องลอดเจ้างูใหญ่ไปเท่านั้น ลามูทำท่าเอามือวาดเชือดคอให้ณรงค์ดูแปลว่า ฆ่าเลยดีไหม ณรงค์เลิกคิ้วสูงตาโตแปลว่าจะทำยังไง โอบาจิสะกิดเขาแล้วพยักหน้าหงึกๆแปลว่ามีวิธี เขาดึงมีซุยเดินป่าปลายแหลมออกมาชูให้นายจ้างดู แล้วโอบาจิก็กระชับมีดมั่นค่อยๆก็ย่อตัวจะย่องเข้าไปฟันแต่เพราะกิ่งไม้นั้นมันอยู่สูงกว่าที่จะฟันได้ถนัด ณรงค์จึงรีบเหนี่ยวไหล่ไว้ก่อนเพราะมันอันตรายเกินไป เจ้างูมันอยู่สูงจึงได้เปรียบ เขาเม้มปากอยู่ครู่หนึ่งจึงคิดออกมันเป็นวิธีเด็กๆง่าย ณรงค์เดินไปหยิบหินผาที่เป็นเหลี่ยมๆขนาดเหมาะมือมาสองสามก้อนมากองไว้เบื้องหน้าห่างจากไอ้เหลือมประมาณ7-8เมตร พรานหนุ่มสองคนก็รู้ทันคราวนี้พวกนั้นก็วางมีดลงแล้วคว้าก้อนหินขนาดใหญ่ๆมาคนละหลายก้อนกองไว้ตรงกลางด่าน ณรงค์ยิ้มพอใจเขาพยักหน้าหงึกๆเป็นสัญญาณ แล้วสงครามการไล่ที่ก็เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์ผู้พยายามผ่านทางกับเจ้าถิ่นผู้หิวโหย ณรงค์เป็นคนแรกที่เปิดศึกเขาเขวี้ยงก้อนหินในมือออกไปสุดแรงหมายกำหนดเอาร่างเหลืองดำที่นอนทอดยาวอยู่ ก้อนหินที่ลอยละลิ่วกระทบกิ่งไม้สุดแรงดังโป๊กแตกเป็นสะเก็ด เขายักไหล่เพราะปาพลาด เจ้างูยังอยู่ที่เดิมไม่มีความเคลื่อนไหว สองคนนั้นจึงเอาบ้างต่างคนก็ต่างเขวี้ยงหินไปอย่างแรงชนิดที่ว่าไม่ยอมให้งูได้หายใจ บางก้อนก็ถูกลำตัวอย่างถนัดถี่บางก้อนก็วืด หลายสิบก้อนผ่านไปคนเขวี้ยงถึงกับหอบจับ เพราะแต่ละก้อนใหญ่ขนาดลูกมะนาวถึงลูกส้มโอ แต่เจ้างูมันยังนิ่งอยู่ที่เดิม “นายทำไมมันยังไม่ไปอีก” ลามูถามเบาๆเพราะหอบเหนื่อย “ไม่รู้สิบางทีพวกเราขว้างเอาถูกจุดสำคัญมันตายแล้วกระมัง” ณรงค์พูดยิ้มๆแต่สีหน้ายังสงสัย “ผมว่าเอาไม้เขี่ยดูดีรึไม่นาย” โอบาจิเสนอพลางใช้มีดตัดเอาลำต้นเล็กๆยาวเรียวของต้นไม้ชนิดหนึ่งขนาดความใหญ่ประมาณด้ามมีดยาวเมตรกว่าๆ โอบาจิยื่นไม้ที่พึ่งตัดนั้นให้ณรงค์ “หึ้ย เอามาให้ฉันทำไมโอบาจินั้นแหละไปเขี่ยมันดู” ณรงค์พูดพลางผลักหลังดันให้ให้พรานหนุ่มก้าวออกไปเบื้องหน้า ร่างสูงโปร่งนั้นค่อยๆย่องไปอย่างช้าๆ โอบางจิพยายามมองหาว่าทางไหนหัวทางไหนหางแต่ไม่สามารถจะกำหนดได้ถนัดแล้วเขาก็ ค่อยๆใช้ไม้แหย่ไปที่กลางลำตัว มันแน่นิ่งไม่ไหวติง “ตายแล้วกระมังนาย” เขาหันมาส่งถามเสียงไม่ดังนัก “เขี่ยแรงๆสิให้มันร่วงลงมาเลย” ณรงค์ว่าโอบาจิพยักหน้ารับ แล้วหมอนั้นก็เอาไม้เขี่ยผลักสุดแรง ทีแรกมันหนักๆหนืดๆจากนั้นร่างยาวก็ร่วงหล่นลงมาดังตุ๊บ พอถึงพื้นเท่านั้นแหละโอบาจิวิ่งพรวดหนีทันที เพราะเจ้างูที่กำลังหงุดหงิดไล่งับมาติดๆ ระยะแค่นั้นมันพรวดพราดเร็วจนเหลือเชื่อ ณรงค์ร้องเฮ้ยผงะจะถอยหลัง แต่บังเอิญสะดุดก้อนหินใหญ่ๆที่พวกนั้นเอามากองไว้เขาหงายหลังลงกับพื้น ขณะกำลังจะยันตัวขึ้น โอบาจิก็วิ่งมาถึงเขาแล้ว พรานหนุ่มส่งมือให้เขาจับไม่ทันที่จะออกแรงฉุด ไอ้วายร้ายก็งับลงบนข้อเท้าของเขาพอดี มันฉกงับอย่างแรงตรงข้อเท้าที่สวมรองเท้าคอมแบทหนังของทหารแบบข้อสูง มันจึงกัดไม่เข้าเเต่มันยังงับได้แม้จะไม่ทะลุก็ตามมันขบแน่นแล้วออกแรงกระชากดึง ณรงค์ร้องเฮ้ยเพราะความตกใจ เขากำมือของโอบาจิแน่น หมอนั้นซวนเซเจียนจะล้มแต่ก็ยังยันกายได้ถนัด ลามูเข้ามาคว้าตัวณรงค์ไว้อีกแรงโดยดึงที่สายกระเป๋า ในตอนนี้เป็นภาพที่ช่างน่าดูแกมขบขันเพราะเป็นการชักเย่อกันระหว่างคนกับงูโดยมีณรงค์อยู่ตรงกลางพวกนั้นดึงเข้าไว้สุดแรงแหกปากตะโกนลั่นไปหมด ส่วนณรงค์ไม่ต้องพูดถึงเพราะอารามตกใจดันพูดไทยไม่ออก แกร้องตะโกนเป็นภาษาพ่อโหวกเหวกไปหมดฟังไม่ได้ศัพท์ มีคนเดียวที่ไม่ได้ตะโกนแข่งกับเขาคือเจ้างูเหลือมตัวนั้นนั่นเองเพราะมันพูดไม่ได้ เมื่อมันดึงไม่ถนัดมันจึงค่อยวาดตัวมาหมายรัดให้ นายช่างสรรพาวุธของกองทัพไทย แหลกเหลวคาที่ตรงนั้น ณรงค์เมื่อเห็นมันขดตัวมายิ่งแหกปากดังเข้าไปอีก ทันทีที่ตั้งสติได้ จึงตบลงไปที่ข้างเอว พยายามปลดมีดออกจากซอง มันเป็นมีดโบวี่ของกองทัพอเมริกันชนิดเอ็มเก้า เขาค่อยๆดึงมีดออกจากซองอย่างใจเย็น ใบมีดสีเงินวาววับ เขาเงื้อขึ้นสุดแขน “ทั้งหมดปล่อยฉัน” เขาตะโกนลั่นพวกนั้นเข้าใจความมายดีก็ปล่อยมือจากเขา อันเป็นเวลาที่เจ้างูใหญ่เหวี่ยงร่างเข้ามาพอดี ณรงค์ก็ฟันฉันลงไปที่ก้านคอมันตัดเส้นประสาทอย่างเฉีบคมเพราะหัวขาดออกจากร่างด้วยความคมของมีดปลายปืนที่สั่งทำพิเศษ หัวใหญ่อันแสนน่าเกลียดยังติดที่ข้อเท้าเขา แต่ร่างใหญ่ยาวนั้นดิ้นอย่างแรงสะบัดเร่าๆปลายหางเหวี่ยงไปมา เลือดสีแดงข้นสาดคาวคละคลุ้ง เขาเรียกพริกตัวหลบออกมายันกายลุกขึ้นยืนดู เขารีบเอาสันมีดที่เป็นใบเลื่อยเคาะแงะหัวงูที่ยังคาอยู่เมื่อมันหลุดออกมาณรงค์เตะสุดแรงจนมันกระเด็นหายเข้าไปในพงหญ้า “นายครับเป็นยังไงบ้าง” ลามูถามพลางช่วยโอบาจิปัดฝุ่นและเศษใบไม้ที่ติดตามตัวให้เขา ณรงค์ส่งยิ้มแห้งๆให้หน้าตาเหยเก “แอมฟาย แต๊งกิ้ว ปลอดภัยดีแต่ก็ขนลุกไปหมด ทำไมมันตัวใหญ่จัง” เขาพูดพลางสะบัดมีดและเช็ดเลือดกับใบไม้ “ผมนึกว่านายจะเสร็จเสียแล้ว นี้ถ้ามันรัดได้ถนัดละก็มีหวังซี่โครงหักแน่เทียว” โอบาจิ แสดงความเห็น ณรงค์สอดมีดลงฝักแล้วหันหน้ามองพรานทั้งสองเขาบ่นเบาๆ “มีดก็มีกันทุกคนไม่มีใครคิดจะเอามาฟันเลย ดึงกันไปก็ดึงกันมาเป็นฉันเป็นเชือกรึไง” “โธ่นาย เพราะความตกใจดอก นี้ถ้าไม่ดึงไว้นี้มันลากนายไปไกลแน่” โอบาจิพูดยิ้มๆพลางเกาหัว “นั้นแหละไหนบอกว่ามันตายแล้วเห็นวิ่งคนแรก ดีที่คนถูกกัดเป็นฉันนะถ้าไม่มีรองเท้าหนังละแย่แน่ เป็นสองคนนี้โดนกันละมีขาเหวอะไม่ต้องเย็บ” เขาพูดพลางหัวเราะอย่างถอนฉิวต่อเหตุการณ์ที่เป็นดังตลกร้าย “ยังไงก็ขอบคุณมาที่ช่วยฉันไว้ทัน เอาละกันไปเถอะ ฉันไม่อยากมองซากมันสักเท่าไหร่ไม่น่าดูเลย” “ดีเหมือนกันนาย ป่าแตกแล้วกระมั่งเพราะเราตะโกนกันสนั่นเลย” “นั้นแหละดีแต่พากันแหกปากลั่น เสียเชิงพรานหมดไปนำทางต่อ” ณรงค์พูดพลางผลักหลังเบาๆให้โอบาจินำทางต่อ เส้นทางที่คณะบ่ายหน้ามามีระดับต่ำลงเรื่อยๆไม่กี่ชั่วโมงจากนั้น ณรงค์ก็พบว่าคณะของเขา มาหยุดอยู่ที่ปากทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ต่ำกว่าภูเขาลูกใหญ่สูงทะมึน ขณะนี้เป็นเวลา 11.15 น. ณรงค์เริ่มสีหน้าไม่ค่อยดีเพราะปากทางเข้ามันช่างแคบเหลือเกิน “มันจะแคบตรงช่วงแรกๆหน่อยเดียวนาย ลึกเข้าไปจะกว้างจนช้างลอดได้เลย ทนเอาหน่อยนะครับ” ลามูพูดข้างๆเขา ณรงค์หันไปมองร่างสันทัดนั้น ลามูเป็นคนรูปร่างไม่สูงนักผิวเข้ม แต่กำยำ ใบหน้าเป็นเหลี่ยมสัน ผมยาวปรกท้ายทอย ดวงตาสีดำกลมใหญ่ เขามักคาดหน้าผากด้วยผ้าแดงยาวๆ นุ่งกางเกงขายาว รองเท้ากะเหรี่ยงถักแบบครึ่งแข้ง สวมเสื้อแขนสั้นสีดำสำหรับกลางวันส่วนกางคืนจะมีเสื้อแจ็คเก็ตทหารสีขี้ม้าที่ใส่จนดำขะมุกขะมอม บนไหล่สะหายลูกซองเดี่ยว สิ่งที่พอจะดูดีในร่างกายคือ กระเป๋าเป้เดินป่าราคาแพงที่เป็นของพวกฝรั่ง พิทักษ์ได้สั่งให้แจกพรานทั้งสี่คนตั้งแต่เริ่มเดินทาง เพื่อเอาไว้ใส่ของจำเป็นทั้งของคณะและของส่วนตัวแทนที่ถุงย่ามและถุงทะเลที่ไม่สะดวก ตอนนี้สิ่งที่ลามูมีเพิ่มเข้ามาคือ ท่อนไม้สามสี่ท่อนชุบน้ำยาง เป็นที่เรียบร้อยมันจะเป็นไต้และฟืนในยามจำป็น โอบาจิก็ติดมาหลายท่อนเช่นกัน “พร้อมรึยังครับนาย” โอบาจิส่งคำถามมา เขาพยักหน้าพูดสั้นๆ “ไป” แล้วคณะเดินทางก็ก้าวย่างเข้าสู่ถ้ำอันมืดมิด กลิ่นของขี้ค้างคาวและอับชื้นทำเอารู้สึกตะครั้นตะคร้อและอึดอัดอย่างที่สุด ทั้งหมดฉายไฟกันคนละกระบอก แม้อยากจะสงวนถ่านไว้แต่ในความมืดเช่นนี้แสงไฟคือสิ่งจำเป็น ทั้งหมดเดินเรียงเดี่ยวชนิดตัวติดกัน หนทางในช่วงแรกคับแคบและเพดานต่ำ ณรงค์ รู้สึกถึงความอึดอันเป็นอย่างมากเขารู้สึกหายใจไม่ออก เหงื่อกาฬแตกไหลอาบร่างทุกก้าวย่างมันช่างเชื่องช้าเหมือนอยู่ในขุมนรกก็ไม่ปาน ทุกคนล้วนแต่สะพายปืนยาวในลักษณะคาดเฉียงเพราะว่ามือทั้งสองต้องคอยพยุงอันเนื่องมาจาก พื้นถ้ำบางจุดอับชื้นและเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ การที่จะลื่นล้มหัวฟาดกับแง่งหินมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา คนเราถ้าลงได้เกลียดหรือกลัวอะไรเมื่อได้อยู่กับสิ่งนั้นมันมักจะทรมานเกินกว่าคนทั่วไป ณรงค์ตอนนี้ ได้แต่กัดฟันก้าวไปทีละก้าวเท่านั้น เขาพยายามไม่แสดงความอ่อนแอให้พรานทั้งสองเห็นแม้ว่าจะต้องกั้นใจเดินก็ตาม ชั่วโมงแรกผ่านไปณรงค์รู้สึกชินกับการเดินทางในถ้ำมากขึ้น เขารู้สึกปลอดโปร่งและหายใจสะดวกขึ้นเพราะหนทางในถ้ำดูกว้างขวางขึ้น อากาศก็ถ่ายเทดี ไม่มีกลิ่นอับและขี้ค้างคาวแล้ว หนทางที่เดินรู้สึกจะวกเวียนอยู่สักหน่อย บางครั้งก็ตัดตรงเมื่อเข้าสู่ชั่วโมงที่สอง จู่ๆไฟฉายในมือของโอบาจิก็ดับลงเมื่อเลี้ยวผ่านมุมเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ที่มีเพด้านสูงคล้ายโดม ไม่เพียงแค่ไฟฉายในมือของโอบาจิเท่านั้น ในตอนนี้ไฟฉายของทุกคนดับลงไปหมด จะว่าถ่านหมดก็หรือหลอดขาดก็ใช่ที่ “เอ๊ะ ทำไมไฟฉายถึงดับกันทุกคน” ณรงค์พึมพำเบาๆพลางเคาะที่ไฟฉาย “ไม่ต้องเคาะดอกนาย” เสียงโอบาจิพูดมาในความมืด “ถ้ามาถึงตรงนี้ไฟฉายมักจะดับเสมออย่าว่าแต่ไฟฉายเลยแม้แต่ไต้ก็จุดไม่ติด” “ทำไม” ณรงค์ขมวดคิ้วถาม “ไม่รู้เหมือนกันครับ นายลองจุดไฟแช๊กดูสิครับจ้างให้ก็จุดไม่ติด” “โอบาจิรู้อยู่แล้วใช่ไหม ว่าตรงนี้จะจุดไฟไม่ติด” ณรงค์ถามเรียบๆ “ครับนาย ความจริงผมเคยผ่านมาที่นี้ สองสามครั้งเอง แต่เพราะทางมันไม่ซับซ้อนจึงเดินง่ายไม่กลัวหลง พ่อของโอบาจิกับพ่อของมะอีซาเป็นเพื่อนกัน เขาเดินทางใต้ภูเขาลูกนี้บ่อยๆ เมื่อผ่านทางช่วงนี้ไฟก็จะจุดไม่ติดทุกที” “แล้วกัน มันเป็นเพราะอะไรกันนะ” ณรงค์พูดเบาๆแล้วปล่อยผ่านไปเสียเขาไม่อยากจะเก็บมาคิดให้หนักสมองเพราะตอนนี้ปัญหาคือจะเดินกันยังไงในความมืด “ แล้วเราจะไปกันต่อยังไง ในเมื่อไม่มีไฟฉายหรือคบเพลิง” “นายเชื่อใจโอบาจิเถอะ เดี๋ยวเราก็ผ่านไปได้” พรานหนุ่มพูดพลางยิ้มฟันขาวในความมืด “นายเกาะติดโอบาจิไว้ให้มั่นเลยนะอย่างปล่อยมือหละประเดี๋ยวจะพลัดหลงหรือไม่ตำเอาหินเอาได้ ลามู เอ็งก็เกาะนายช่างไว้นาประเดี๋ยวติดอยู่ในนี้ละแย่เลยมึง” โอบาจิพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มที่กับณรงค์ แต่ประโยคหลังพูดกับลามู “เข้าใจแล้ว” ณรงค์คว้าเป้ของโอบาจิแล้วตบไหล่ตอบเบาๆ ส่วนลามูก็คว้าเป้เขาไว้เช่นกัน “พร้อมแล้ว” เขาว่า จากนั้นโอบาจิก็เริ่มสาวเท้าไปเบื้องหน้า พรานหนุ่มค่อยๆเดินนำเพราะต้องเดินตัวติดกัน บางครั้งณรงค์ก็สะดุดเอาขาของโอบาจิ อันเนื่องมาจากความสูงใหญ่ของรูปร่างที่ต่างกัน โอบาจินำคณะเลี้ยวผ่านมุมต่างๆได้อย่างแม่นยำบางครั้งก็บอกให้ก้มหัวลงต่ำเพราะหลบหินงอกหินย้อย บางครั้งก็บอกใช้ชิดซ้ายหรือชิดขวา ไม่ว่าถ้ำจะอยู่ในสภาพใด โอบาจิก็สามารถบอกได้หมดไม่คลาดเคลื่อนเลย ทั้งๆที่ณรงค์มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง มันมืดสนิทไปหมด เขาคิดถึงเกมส์ในโรงเรียนนายร้อยที่ ครูฝึกให้ปิดตาแล้วผ่านเดินไปในฐานต่างๆแต่นี้มันคือสถานการณ์จริง แล้วก็ไม่ได้ปิดตาดวงตาทั้งสองเปิดอยู่แต่มันมองไม่เห็นอะไรเลย กว่าชั่วโมงที่ทั้งหมดเดินมะงุมมะหราอยู่นั้น จู่ๆโอบาจิก็หยุด ทำเอาคนที่ตามมาต้องชนกันเอง “มีอะไร” เสียงนุ่มๆของณรงค์ถามเบาๆ “เปล่าครับแต่เราน่าจะพ้นเขตที่จุดไฟไม่ติดแล้วครับนาย” “โอบาจิรู้ได้ยังไง” ณรงค์ขมวดคิ้วถาม “ผมจำทางได้หนะครับ” “หมายความว่าไง” ณรงค์ยังไม่เข้าใจ “คือผมสามารถมองเห็นทางในที่มืดๆได้ครับ” “โอ้ว ก็อต จริงหรือ” ณรงค์อุทานถาม เขาทึ่งกับความสามารถของพรานหนุ่มคนนี้เสียจริง “จริงครับนาย ไม่งั้นโอบาจิไม่พานายเดินมาได้ขนาดนี้หรอก ดีไม่ดีเราชนหินหัวร้างค้างแตกกันหมดแล้ว นายลองถามลามูสิ” “จริงครับนาย โอบาจิมันมองเห็นในตอนกลางคืนได้จริงๆ เป็นความสามารถเฉพาะตัวครับ” ลามูพูดสมทบมา “ว้าว เยี่ยมยอดจริงๆฉันอยากจะมีความสามารถแบบนี้บางจัง คงจะใช้ประโยชน์ได้มากเลย” ณรงค์รู้สึกชื่นชมกับความสามารถของโอบาจิอย่างจริงใจ โอบาจิยิ้มๆไม่ว่าอะไรแต่หยิบไต้ขึ้นมาสองอัน “นายครับ ผมขอจุดไต้หน่อยครับพอดีไฟแช๊กผมพังไปหลายวันแล้ว” “เอะ!! เราจะจุดไต้ทำไม ไฟฉายเราน่าจะใช้ได้แล้วไม่ใช่หรือ” ณรงค์ถามพลางเอาไฟฉายขึ้นมาทำท่าจะเปิดสวิตแต่เสียงของโอบาจิขัดขึ้นมาก่อน “อย่าพึ่งฉายไฟครับนาย” “ทำไมมีอะไรหรือ” “ปะเดี๋ยวนายจะเห็นเองครับ ขอจุดไฟให้ผมก่อนเถิดครับ” ก็ได้ๆ ณรงค์พูดพลางล้วงไลเตอร์แบบซิปโป้ขึ้นมาสะบัดไฟจ่อลนไต้ขี้ยางให้โอบาจิ พอไฟที่ไต้ลุกติดทั้งสองอันมันก็ส่องสว่างจนเห็นอะไรรอบๆตัว พรานหนุ่มชูไต้ขึ้นสูงแล้วสิ่งที่ ณรงค์ไม่คาดคิดก็ปรากฏขึ้น บริเวณโดยรอบห้องโถงกว้างยามนี้นั้นเมื่อมองเห็นถนัด มันล้วนแต่เป็นหินแร่หลากสีมันที่กันสะท้อนแสงไฟจากคบไต้ส่องแสงสว่างแพรวพราวไฟหมด ลามูหยิบเอาไต้มาจุดเพิ่มอีกอันมันก็สะท้อนสว่างขึ้นกว่าเดินจน เหมือนกับพวกมันมีแสงในตัวเอง แร่ที่มีเยอะสุดที่ณรงค์มองเห็น มันมีสัณฐานคล้ายน้ำแข็งเกาะตามผนังถ้ำ ส่วนที่งอกยื่นออกมาเป็นลักษณะหกแฉกคล้ายเกร็ดหิมะมันเกาะเกลื่อนเต็มผนังห้องบาง แห่งเป็นแท่งเสาหกเหลี่ยมสูงยาวจากเพดานจรดพื้น มันช่างสวยงามเกินคำบรรยาย ณรงค์ยืนมองอย่างละลานตา จนลามูต้องสะกิด “นายครับข้างหน้ามีเด็ดกว่านี้” ช่างสรรพาวุธหนุ่มลูกครึ่งไทยอเมริกันพยักหน้าตอบรับ โอบาจิจึงออกนำต่อ ผ่านห้องโถงใหญ่นั้นไปเป็นช่องทางเล็กๆ แต่บริเวณผนังนั้นไม่ได้ทำให้คนที่กลัวที่แคบอย่างณรงค์อึดอัดเลย เพราะมันล้วนแต่เต็มไปด้วยผลึกแร่สีฟ้าสดใส มันสะท้อนกับแสงไฟสว่างไสวณรงค์ดูไปอย่างเพลิดเพลิน ผ่านช่องแคบนั้นมาก็กลับมาสู่ห้องใหญ่อีกรอบครั้งนี้เป็นแร่สีม่วงมันขึ้นเป็นรูปแปดเหลี่ยมยอดแหลม ทุกหินทุกก้อน ล้วนแต่เกาะไปด้วยผลึกแร่ บางก้อนที่เขาหยิบขึ้นมาดูมันเป็นผลึกหินที่หลายสีโดยแบ่งเป็นชั้นๆแต่สีม่วงใสจะเยอะที่สุด โอบาจิไม่ได้เร่งนักเขาปล่อยให้นายจ้างสำรวจอย่างเต็มที่ เพราะนั้นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ณรงค์ลืมความอึดอัดของบรรยากาศในถ้ำคณะเดินทางผ่านไปในแต่ละห้อง ทางเชื่องห้องมักจะเป็นทางเดินยาวที่ไม่แคบนักแต่ผนังจะเป็นแผ่นผลึกหนา เมื่อณรงค์เอาไฟฉายจ่อชิดแล้วฉายดูปรากฏว่ามันเรื่องแสงสะท้อนขึ้นจนสว่างเห็นถึงราก เกือบสามชั่วโมงเต็มที่คณะเดินลัดเลาะหินสีต่างๆทั้งสีทึบและสีใส สีแดง สีเขียว สีฟ้า น้ำเงิน และทองโดยแต่ละห้องใหญ่จะมีทางเชื่อที่ไม่คับแคบเกินไปนัก ผลึกนาๆสีพวกนั้นช่างงดงามและทำให้เพลินเพลินต่อการเดินทาง ณรงค์แทบจะลืมไปเลยว่าตนอยู่ในถ้ำ แล้วคณะมาหยุดพักที่ห้องโล่งใหญ่ห้องหนึ่งมีธารน้ำเล็กๆไหลผ่านมันเป็นน้ำที่ใส่สะอาดและเย็นจัด สามารถใช้ดื่มกินดับความกระหายได้อย่างดี ไต้ทั้งหมดที่ยังเหลือถูกเอามา กองรวมกันเป็นฟืนกองหนึ่ง กาแฟที่เหลือน้อยนิด ถูกเอามาต้มแบ่งกันกินเนื้อกระจง ตุ่น นกเขาและหนูหวายตัวน้อยๆ ที่โอบาจิเตรียมไว้ถูก นำออกมาอุ่นอีกครั้ง โดยอาศัยเอาวางบนก้อนกินอังไฟเพราะไม่มีไม้เสียบ นาฬิกาตอนนี้บอกเวลา 17.30น. ณรงค์รู้สึกอึ้งต่อเวลาเพราะมันผ่านไปเร็วเหลือเกิน เขาชวนสองพรานหนุ่มทานอาหารเติมพลังงานอย่างรวดเร็ว เพราะมื้อกลางวันก็อาศัยเหมารวมกับมื้อเย็นเลย โอบาจิบอกว่าอีกสักชั่วโมงก็จะทะลุออกจากถ้ำแล้ว ณรงค์ใจชื้นขึ้นมาเพราะจะได้รู้สึกหายโล่งใจสักที นี้ถือเป็นครั้งแรกของเขาที่ใช้เวลาในถ้ำนานขนาดนี้ แล้วสามสหายนายบ่าวก็พร้อมที่จะเดินทางต่อ โอบาจิบอกว่าในช่วงหลังนี้จะค่อนข้างอากาศถ่ายเทดี แต่มันที่อยู่ของสัตว์หลายชนิดโดยเฉพาะพวกสัตว์เลื้อยคลานมีพิษ เช่นแมงป่อง ตะขาบ แมงมุม งูเป็นต้น บางตัวก็ไม่มีพิษแต่ก็อันตราย เช่นจระเข้ ค้างคาว หมี และเสือขนาดเล็ก “ถ้ำนี้มีจระเข้ได้ยังไง” ณรงค์ถามขณะเหวี่ยงตัวข้ามหินงอกตอนหนึ่ง “ในช่วงหลังนี้ ถ้ำฝั่งหนึ่งจะเปิดติดริมแม่น้ำ บางแห่งก็เป็นโคลนเลน หรือบางทีก็มีบ่อขึ้นกลางถ้ำมันเชื่อมออกไปหาบึงใหญ่ครับ บึงพวกนี้จระเข้ชุมนักแล บางตัวใหญ่ขนาดเรือบด พวกพรานถิ่นนี้ไม่ค่อยอยากมายุ่งกับพวกมันนักเพราะเนื้อดีๆมีให้กินมากมายถมเถ จะล่าไปขายก็ลำบากเนื่องจากการขนย้าย ทำให้มันชุกชุมมากครับ” โอบาจิอธิบายพลางใช้ไฟฉายสาดกราดต่ำไปยังผนังพื้นด้านต่ำ การเดินทางช่วงนี้อับทึบและชื่น กลิ่นโคลนและมูลสัตว์คาวคละคุ้ง คนที่จมูกดีไวต่อการสัมผัสเช่น ลามูถึงกับต้องเอาผ้าขาวม้าขึ้นมาพันปิดหน้า ชั่วโมงเต็มๆแห่งการเดินทางที่ทำเอาทุกคนหายใจไม่ทั่วท้องทั้งหมดก็ทะลุออกอีกฝั่งหนึ่งของถ้ำ มันเป็นหนทางที่กว้างใหญ่ลมโกรกอย่างแรง ณรงค์ เกร็ดบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบตัวแรกของการเดินทาง เขารู้สึกปรอดโปร่งโล่งใจอย่างที่สุดที่ได้ออกมาจากถ้ำเสียที แต่การเดินถ้ำในครั้งนี้ทำให้ทัศนคติต่อการเข้าถ้ำของเขาเปลี่ยนไป ไม่แน่หากมีโอกาสเขาก็อยากจะลองสำรวจถ้ำดูบ้าง ณรงค์เหลือบดูด้วยสาตาก็เห็น ลามูนั่งทำหน้าแหย่งๆอยู่เวลานี้ความมืดยังไม่มืดสนิทนักยังพอเห็นหน้ากันตะคุ่มๆ “เป็นอะไรลามูเจ็บแผลรึ” นายจ้างลูกครึ่งถามพลางจับที่ไหล่ข้างนั้น ลามูเงยหน้ามองเขายิ้มตอบแห้งๆ “ไม่ใช่ดอกนาย ลามูไม่ค่อยชอบกลิ่นในตอนหลังนี้เท่าไหร่เพราะมันทำเอาท้องไส้ปั่นป่วนหมด จมูกของลามูต้อนนี้สับสนไปหมดเลย” “เอ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นหละ ฉันก็ว่ากลิ่นช่วงหลังนี้ไม่ค่อยดีนะแต่ก็พอไหว ลามูเป็นพรานป่าน่าจะทนได้สบายนิ” “ลามูมีจมูกที่ไวต่อกลิ่นเป็นพิเศษหน่ะนาย เขารับกลิ่นได้ดีกว่าเราจึงเหม็นกว่า” โอบาจิเป็นคนตอบมา “อ๋อเป็นเช่นนี้นี่เอง” ณรงค์พยักหน้ารับเขาทึ่งๆในความสามารถของพรานป่าพวกนี้ที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป ถึงว่าพวกเขาสามารถที่จะใช้ชีวิตได้อย่างดีในธรรมชาติที่แสนโหดร้ายลละดุดันต่อผู้ที่ไม่จัดเจน พวกของณรงค์พักอยู่สักครู่พอหายเหนื่อยจึงเริ่มเดินทางต่อ ทางระยะแรกมันเป็นการเดินลงเขาตามร่องของหุบเขา โอบาจิใช้ไฟฉายกราดส่องไปข้างหน้า ณรงค์และลามู ก็สาดส่องตามแนวไม้ข้างทางไม่นานณรงค์ก็พบตัวเองอยู่ในร่องน้ำตื้นๆเพียงแค่หน้าแข้ง ทั้งหมดค่อยๆเดินลุยน้ำลัดเลาะตามแก่งเล็กๆคล้ายจะอุปทานแต่ณรงค์รู้สึกเหมือนได้ยินสียงของน้ำตกขนาดใหญ่ที่กระหน่ำลงสู่พื้นดิน ขณะนี้เวลา 20.10 นาฬิกา โอบาจิผู้คำนวนเส้นทางได้อย่างแม่นยำรายงานแก่ณรงค์ว่า ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากผาน้ำตกไปไม่มากใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงแต่ตอนนี้พวกเขาต้องพักก่อนเพราะร่างกายเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน อีกทั้งตำแหน่งของพิทักษ์ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเป็นเส้นทางที่ไม่มีใครรู้มาก่อน หากจะเดินงมสุ่มเข้าไปตอนนี้ก็คงจะมีแต่แย่ลงณรงค์ตัดสินใจให้โอบาจิมุ่งเข้าหาที่พักก่อน ในรุ่งเช้าค่อยมาคิดคำนวนดูอีกที โอบาจิจึงนำตัดขึ้นจากลำห้วย ขึ้นเขาเล็กๆที่อยู่สูงกว่าระดับเดียวกัน มันเป็นเนินที่ด้านหนึ่งเปิดโล่ง อีกด้านหนึ่งเป็นป่าไม้รวกหนาพอที่จะสามารถอาศัยเป็นที่กำบังลมได้ ขณะที่ณรงค์กำลังจะปลดเป้ ลามูผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆก็คว้าข้อมือเขาแล้วฉุดให้นั่งลง อากัปกริยาของลามูดูมีพิรุธอย่างน่าสังเกตุหมอนั้นทำจมูกฟุดฟิตในอากาศ พลางใช้มือแตะที่ปากไม่ให้อีกสองคนที่นั่งข้างๆส่งเสียงออกมา ลามู เอานิ้วแนะน้ำลายชูสูงคำนวณทิศทางลมพรานหนุ่มที่พึ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ ค่อยๆยันกายขึ้นสูดหายใจเต็มปอด เมื่อแน่ใจแล้วจึงนั่งลง “อะไร” ณรงค์กระซิบถามลอดไรฟัน “กองไฟนาย” ลามูกระซิบตอบเขาพลางใช้มืออีกข้างเหนี่ยวคอโอบาจิให้เข้ามาใกล้ในลักษณะสุมหัว “เล่ามาให้ละเอียดทีฉันไม่เข้าใจ” ณรงค์กระซิบจ่อหูลามู แม้เขาจะไม่เข้าใจถึงเหตุการณ์ในขณะนี้แต่ก็คำนวนได้จากสีหน้าท่าทางของลามูว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างตึงเครียด “มีใครบางคนก่อไฟอยู่ข้างหน้าเรานาย ทีแรกลามูไม่แน่ใจแต่เพราะลมมันเปลี่ยนทิศไปมาเลยแน่ใจมันเป็นกลิ่นควันไฟชัดเจนเลย” “นายพิทักษ์หรือเปล่า” โอบาจิให้ความเห็น “ไม่น่าจะใช่นะเพราะคุณพิทักษ์บอกว่าหลบอยู่บนภูเขาที่เป็นลักษณะแอ่งราบเรียบมีสระน้ำขนาดใหญ่” “แล้วใครกันหละ หรือว่าเป็นพวกคนป่า” โอบาจิหันหน้าไปถามลามู “เจ้านายคิดว่าอย่างไรครับ” ลามูหันมาส่งภาระให้เขาตัดสินใจ “ฉันคิดว่าอาจจะเป็นพวกพรานพื้นเมืองหรืออาจจะเป็นคนป่าที่พิทักษ์บอกก็ได้ คิดว่าพวกนั้นอยู่ห่างออกไปใกล้ไกลสักแค่ไหนลามู” ณรงค์แสดงความเห็น พลางสอบถามลามูผู้มีฆานประสาทอันแม่นยำเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป ลามูค่อยๆย่องออกไปยังเนินที่โล่งชั่งใจอยู่สักครู่จึงหันกลับมารายงาน “อยู่ทางทิศโน้นนาย ใต้เรานี้ห่างเองออกไปประมาณ4-5ร้อยเมตร” ณรงค์พยักหน้ารับ ขนาดระยะไกลขนาดนี้ลามูยังได้กลิ่น แสดงถึงขีดความสามารถอันสุดยอดของพรานนำทางคณะนี้ที่พิทักษ์รวบรวมมาได้อย่างบังเอิญ พิทักษ์ได้ตัวคนแกะรอยไป ชำนาญได้ผู้อาวุโสและพึ่งได้ทุกภารกิจ ส่วนเขามีทั้งตาที่มองเห็นได้ในที่มืดและจมูกที่ไวยิ่งกว่าสุนัขพันธ์บลัดฮาวด์ ถือว่าเขาได้เปรียบสหายทั้งสองอยู่ หนึ่งขั้น ณรงค์คิดคำนวนอยู่ครู่จึงคว้าคอสองพรานมาสุมหัวอีกครั้ง “ระยะใกล้ขนาดนี้ไม่ปลอดภัยแน่หากเราจะอาศัยพักนอนเพราะมันเป็นทางที่ พวกนั้นอาจจะใช้ผ่านมากก็ได้ ฉันคิดว่าพวกเราควรจะเข้าไปดูสักหน่อย แม้มันจะเสี่ยงก็ตามที ” “เอางั้นเลยรึนาย” โอบาจิถาม “อืม หรือเราจะเลี่ยงไปทางอื่น” “ผมว่าเราเข้าไปดูเถอะนาย ยังไงเราถ้าหากมีพวกมันอยู่แถวนี้จริงที่ไหนก็คงไม่ปลอดภัย” ลามูแสดงความเห็นที่ทุกคนต้องยอมรับเพราะดูสมเหตุสมผลที่สุด “งั้น เอาเลยทุกคนเตรียมพร้อมขั้นสุด พยายามใช้อาวุธระยะประชิดนะหากต้องปะทะเลี่ยงการใช้ปืน เพราะเราไม่รู้ว่ามีพวกมันกี่มากน้อยดีไม่ดีอาจมีเกินสิบ” ณรงค์สั่งดำเนินแผนการอย่างเร่งด่วน ดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายในความมืด ไฟเฟิล 30-06 ถูกสะพายแน่นเฉียงคาดไหล่ แต่ที่เอวคาดแน่น .45 โคล 1911 ตราม้าคาบหอก มันเป็นปืนสั้นแบบแม๊กกาซีนที่ทันสมัย บันจุกระสุน 7 นัด หน้าตัดขนาดใหญ่จึงเหมาะสมที่จะใช้หยุดยั้งสัตว์หนังบางอย่างมนุษย์เอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งในระยะขนาดนี้หากฉุกเฉิน ปืนสั้นที่ยิงเร็วจะอำนวยผลได้มากกว่าไรเฟิลแบบลูกเลื่อน หรือโบลด์แอคชั่น ที่ลูกน้อยและเชื่องช้า สองพรานหนุ่มก็สะพายลูกซองเดี่ยวขึ้นหลังเช่นกัน แต่ละคนล้วนชักมีดเดินป่าปลายแหลมออกมากระชับแน่น ณรงค์ส่งสัญญาณให้พรานหนุ่มทั้งสองออกเดินทันที บรรยาากาศตอนนี้ดึงเครียดอย่างมากเพราะมันเป็นการเดินทางในความมืดที่ไม่รู้ว่าศัตรูเบื้องหน้าเป็นอะไรและมีกี่คน โอบาจิใช้นัยน์ตาวิกาลให้เกิดประโยชน์อีกครั้ง เขาค่อยๆย่องคืบคลานนำทางไปอย่างแช่มช้า หูก็คอยฟังเสียงที่ผิดแปลกออกไปจากสั่งจักจั่นเรไรรอบข้าง โอบาจิ มักหันหน้ามาสอบถามกับลามูอยู่เสมอหากต้องเจอโขนหินหรือไม้ล้มเนื่องจากการต้องเปลี่ยนเส้นทาง ไม่นานหลังจากนั้นระหว่างซอกเขาแห่งหนึ่ง ที่มีพื้นราบเรียบใต้โคนไม้ใหญ่ กองไฟ สามถึงสี่กองจุดเรียงกันเป็นวงล้ม อีกวงหนึ่งอยู่ตรงกลางที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ ปรากฏร่างเงาของมนุษย์อยู่ที่นั้น ร่างหนึ่งผมยาว ตัวเล็กไม่สูงมากนั่งอยู่บนโขดหินใต้ต้นไม้หันหน้าเขากองไฟหันหลังออกมาเบื้องนอก อีกร่างสูงใหญ่กำยำใบหน้าดุดันทาสีฟ้าแดงที่บริเวณใบหน้าและลำตัวเป็นคาดๆมันนั่งอยู่ที่พื้น สองคนนั้นกำลังคุยกันกังพึมพำดูลักษณ์ท่าทางกำลังกินอะไรอยู่สักอย่าง สามทหารเสือ นอนพังพาบใต้ซุ้มไม้เลื้อยสังเกตการณ์ มีสองคนนาย โบบาจิกระซิบ ดูแน่แล้วหรือ ณรงค์ตอบพลางหรี่ตามมอง แน่ใจนาย มีไอ้ตัวใหญ่กับตัวเล็กดูทีท่าไอ้ตัวเล็กน่าจะเป็นหัวหน้าเพราะมันนั่งสูงกว่า ณรงค์พยักหน้าเห็นด้วย เขาคิดวางแผนแล้วเริ่มสั่งงานตามแบบยุธวิธีรบ “ฉันจะจัดการไอ้ตัวเล็กก่อน โอบาจิคอยหลอกล่อไอ้ตัวใหญ่ไว้ ลามูยังบาดเจ็บอยู่ให้ถือปืนคอยคุ้มกัน หากไม่จำเป็นจริงๆอย่างยิงเข้าใจไหม ฉันอยากจะจับเป็นเพื่อหยังกำลังรบของพวกมัน” เขาสั่งงานง่ายๆได้ใจความ เมื่อสอบถามซักซ้อมความเข้าใจกันอีกสักหน่อยทั้งหมดก็เริ่มแผนการ ทุกคนตอนนี้ ปลดสัมภาระที่ไม่จำเป็นออกทั้งหมด ณรงค์เหลือแค่ปืนสั้นกับมีดโบวี่เท่านั้นที่คาดเอวอยู่ โอบาจิมีแค่มีดซุยยาวเล่มเดียว ลามูนั้นสะพายปืนถึงสามกระบอก และขัดเหน็บดาบเดินป่าไว้ที่หลัง ณรงค์ค่อยๆย่องอย่างชนิดที่เงียบกริบตามหลักสูตรที่เคยเรียนเรื่องการเข้าตี เขาย่องมาหลบอยู่บริเวณชะงักหินอันใหญ่ที่อยู่ต่ำกว่าคนป่าพวกนั้นประมาณ 15เมตร ลามูย่องตามมาแต่อยู่ข้างหลังเขา ส่วนโอบาจิอ้อมไปอีกทางหนึ่งในราวป่า ด้านตรงข้าม ตอนนี้พวกเขาล้อมเจ้าคนป่าผู้เคราะห์ร้ายไว้แล้ว ดูเหมือนสองคนนั้นยังไม่สำเหนียกถึงภัยอันตรายที่คืบคลานเข้ามา ยังคงแกะกินอาหารอย่างเพลิดเพลิน
เรื่องนี้ ไม่ทราบว่าเเต่งเองหรือเอามาจากไหนครับ
ตอบลบ