เสียงประหลาดที่น้ำตกชาติตระการ
น้ำตกชาติตระการ น้ำตกที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเขตนี้ ซึ่งมีกันทั้งหมดเจ็ดชั้น ระยะทางเดินจากชั้นแรกไปสู่ชั้นบนสุดราวๆสองกิโลเมตรกว่าๆ ป่าที่นี้แม้จะเป็นป่าดิบแล้งแต่ก็นับว่ายังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่พอสมควร ต้นไม้ใหญ่ๆอย่างยางนา ตะเคียน บาก ยังพอมีให้เห็นอยู่ทั่วไป
ผมมาที่นี่ในช่วงที่เริ่มเข้าสู่ฤดูแล้งแล้ว ธารน้ำตกงดลงเหลือเป็นสายน้ำเล็กๆที่ตกลงสู่หุบเขาเป็นชั้นๆแม้ปริมาณน้ำน้อยแต่ก็ยังคงความสวยงามอยู่ เราเริ่มเดินขึ้นเขาเพื่อไปชมน้ำตกกันช่วงบ่ายสามโมงกว่าๆ ปลายฤดูหนาวต้นเดือนกุมภาพันธ์ยังคงมีความกดอากาศต่ำจากจีนแผ่ลงมาทำให้อากาศยังคงหนาวเย็น แม้จะเป็นยามบ่ายแก่ๆแต่ก็ยังเย็นสบายเหมาะแก่การเดิน
เสียงแมลงต่างๆร้องระงมไปทั่วป่าทำให้ป่าใหญ่ที่ไร้ผู้คนดูไม่สงัดวังเวงนัก ผมเดินอยู่กับน้องสองคน เราไม่ค่อยพูดคุยอะไรกันนักเพราะต่างคนต่างชมนกชมไม้ระหว่างทางอย่างอิ่มเอม บางช่วงของการเดินมีกลิ่นหอมแรงจองดอกไม้ป่าบางชนิดทำให้เราต้องหยุดเดินแล้วมองหาต้นทางของกลิ่นหอมนั่น แต่เราก็ไม่เคยได้เห็นดอกไม้เจ้าของกลิ่นหอมนั่นสักที
เราเดินอยู่ชั่วโมงกว่าๆแวะชมน้ำตกแต่ละชั้นจนในที่สุดก็ขึ้นมาถึงชั้นที่ 7 ของน้ำตกชาติตระการ ชั้นสุดท้ายเป็นธารน้ำตกที่ไหลลดหลั่นกันตามชั้นหินลงไปตามทางลาดของภูเขา บนนี้บรรยากาศเงียบมาก มองออกไปเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนเบื้องหน้า ต้นไม้ใหญ่ยืนตายริมธารน้ำตกทำบรรยากาศดูขรึมขลังอย่างบอกไม่ถูก เหนือธารน้ำตกชั้นสุดท้ายนี้เป็นสายน้ำที่ที่ทอดยาวหายเข้าไปในป่า น้ำใสที่มองดูออกสีเขียวเพราะสาหร่ายจำนวนมากเกาะอยู่ตามก้อนหิน เราอยู่บนชั้นสุดท้ายนี้สักพักใจหนึ่งก็อยากลงเล่นน้ำ แต่ด้วยบรรยากาศที่เงียบวังเวงทำให้ต้องระงับความอยากไว้ก่อน ความรู้สึกลึกๆผมแอบกลัวอยู่เหมือนกันเพราะบรรยากาศบนนี้มันวังเวง เงียบเชียบ ชวนให้นึกถึงนิยายแห่งพงไพรที่บอกเล่าถึงสัตว์ร้ายและสิ่งเร้นลับในป่าที่มักปรากฏตัวในบรรยากาศเช่นนี้
ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยลงทางทิวเข้าด้านตะวันตก แดดสีเข้มขึ้นเพราะใกล้พลบค่ำ อากาศเริ่มเย็นลง เราจึงอำลาน้ำตกชั้นที่เจ็ดนี้เพียงการวักน้ำขึ้นล้างหน้าเพื่อเป็นการยืนยันว่าเราขึ้นมาถึงที่นี่แล้วจริงๆ แล้วเราก็เดินกลับ ซึ่งระหว่าทางเราก็ยังคงได้กลิ่นหอมดอกไม้ป่ากลิ่นเดิมนั้นเป็นระยะ กลิ่นหอมลึก ที่เป็นความหอมอย่างที่ผมไม่เคยได้กลิ่นดอกไม้ชนิดใดมาก่อน ป่าด้านบนน้ำตกนี้ค่อนข้างทึบ เราเดินเลาะทางเดินข้างธารน้ำตกที่ด้านหนึ่งเป็นหุบเขาลึก อีกด้านเป็นป่าลาดชันขึ้นไปที่ปกคลุมด้วยไม้ใหญ่น้อยรกครึ้ม
ป่าข้างบนนี้เงียบมากไม่มีเสียงแมลงร้องระงมเหมือนด้านล่าง เราเดินมาถึงธารน้ำจากบนเขาที่มีสะพานไม่เล็กๆให้ข้าม ป่าตรงนี้ค่อนข้างรกครึ้มและชื้น มีต้นไม้ใหญ่มากเป็นพิเศษ ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งขนาดสองคนโอบล้มขวางทาง ทำให้เราต้องปีนข้ามไป กลิ่นหอมดอกไม้ป่าชนิดเดิม ป่าเงียบสงัด ทันใดนั้นเราได้ยินเสียงอะไรสักอย่างกระโดดลงพื้นตุบ เราหยุดเดินทันที พร้อมๆกับสำนึกบางอยากที่ทำให้กำไม้เท้าที่ใช้พยุงเดินมาแน่นมากขึ้น ตัวผมชาไปทั้งตัวพร้อมๆกับเหงือที่ผุดของมาเม็ดโต
ป่ารอบกายเงียบสงบในอีกไม่วินาทีต่จากเสียงตุบแรกเราก็ได้ยินเสียงย่ำท้าวหนักๆอีกสองครั้งแล้วก็เงียบไป ปล่อยให้เราสองคนยืนนิ่งเหมือนถูกสาบอยู่กลางป่า พอตั้งสติได้เราจึงรีบเร่งฝีเท้าจนลงมาถึงที่ทำการอุทยานก่อนพลบค่ำพอดี เราออกจากน้ำตกชาติตระการมาพร้อมๆกับอาการมึนงงปนความตกใจเพราะในขณะนั้นเราไม่มีอาวุธอะไรป้องกันตัวยกเว้นไม่ไผ่ลำเล็กๆที่เอาไว้ค้ำเดินขึ้นเขาเท่านั้นวินาทีนั้นผมกลัวว่าหากเสียงไม่หายไปในสามเก้าแต่วิ่งเข้ามาหาเราจะเป็นอย่างไร สัตว์ป่าชนิดไหนที่เสียงเท้าหนักขนาดนั้น แล้วเหตุไรจึงเงียบลงอย่างไร้ร่องรอย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น